

กฤษฎา รมช.คลัง เผยสั่ง ก.ล.ต. เร่งพิจารณาการใช้ โปรแกรม เทรดดิ้ง มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นหรือไม่ ขี้ตลาดหุ้นตกต่ำขณะนี้ น่าจะเกิดจากสาเหตุเฉพาะภายในตลาดทุนเอง
- ลั่นในด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศยังดี
- มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เงินคงคลัง 5 แสนล้านบาท
- เผย 19 ธ.ค.นี้ เสนอ ครม.จ่ายช่วยเหลือลูกหนี้จากสินเชื่อฉุกเฉินโควิด 7 พันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ธ.ค.66) ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงานมันนี่ เอ็กซ์โป 2023 นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง เปิดเผยถึงกรณีที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้แสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียเฟซบุ๊ก ว่า “เลิก Program Trading… จะดี” นั้น โดยในเรื่องดังกล่าวได้หารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว พร้อมได้สั่งการให้ ก.ล.ต.ไปพิจารณาเนื่องจากเป็นอำนาจของ ก.ล.ต. ว่าการใช้ โปรแกรม เทรดดิ้ง มีผลกระทบหรือไม่อย่างไร ถ้าหากตรวจสอบแล้ว พบว่ามีผลกระทบ และไม่ควรมีการใช้โปรแกรม เทรดดิ้ง ก็ต้องมีมาตรการหรือประกาศยกเลิกต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนมีผลกระทบต่อหุ้นที่กระทรวงการคลังหรือไม่ รัฐบาลเข้าไปถือหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ เนื่องจากการถือหุ้นของภาครัฐไม่ใช่ทำเพื่อการเก็งกำไร แต่เป็นก็เข้าไปถือหุ้นตามนโยบายเพียงเท่านั้น
“กับทาง ก.ล.ต. ปลัดกระทรวงการคลังได้พูดคุยอยู่ตลอด เนื่องจากเป็นกรรมการขอ งก.ล.ต.อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเรื่องใดก็มีการหารือกันตลอด ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี ก็มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการคลัง ดูแลต่อเนื่อง ทั้ง ก.ล.ต. รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย” นายกฤษฎา กล่าว
นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า ในส่วนที่ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะตกต่ำขณะนี้ น่าจะเกิดจากสาเหตุเฉพาะภายในตลาดทุนเองทั้งนี้ ในด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศยังดีมาก โดยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เงินคงคลังมีกว่า 500,000 ล้านบาท ส่วนอัตราส่วนเงินกองทุน ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio ) อยู่ที่กว่า 19% ซึ่งมากกว่าที่ ธปท.กำหนด รวมถึงด้านดุลการค้าประเทศก็ยังดี และเรื่องการจัดอันดับเครดิตประเทศไทย ก็ยังดีอยู่เช่นกัน ยืนยันว่า เรื่องของตลาดหุ้นน่าจะเป็นปัญหาเฉพาะภายในตลาดเองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 19 ธ.ค.66 นี้ ทางกระทรวงการคลังจะเสนอ วาระเพื่อทราบ เรื่องการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียจากสินเชื่อฉุกเฉินโควิด ให้หลุดพ้นสถานะการเป็นลูกหนี้เสีย โดยรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณไว้ราว 7,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายชดเชยแก่สถาบันการเงินของรัฐ คือธนาคารออมสิน และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามที่รัฐบาลเดิมได้อนุมัติไว้ ที่จะเข้าไปรับภาระกรณีที่เป็นหนี้เสียจำนวน 50% หรือ คิดเป็นเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท ดังนั้นงบดังกล่าวไม่ใช้เงินก้อนใหม่ ซึ่งก็จะใช้เพียง 7,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 30% ของสินเชื่อดังกล่าวเท่านั้น