ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเศรษฐกิจปี 68 โตช้าเหลือ 2.4% จากท่องเที่ยวและส่งออกที่ลดลง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเศรษฐกิจปี 68 โตช้าเหลือ 2.4% จากท่องเที่ยวและส่งออกที่ลดลง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จัดแถลงข่าว "ทิศทางเศรษฐกิจไทยและโลก ภายใต้นโยบาย Trump 2025" เผยไทยอาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอน หลัง ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดี


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จัดแถลงข่าว “ทิศทางเศรษฐกิจไทยและโลก ภายใต้นโยบาย Trump 2025” เผย เศรษฐกิจไทยปี 2568 อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนหลังการกลับมาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนโยบายภาษีนำเข้า ที่กังวลว่าจะทำเศรษฐกิจโลกซบเซาอีกครั้ง รวมถึง นโยบายอเมริกาเฟิร์สท์ จะทำให้มีการเปลี่ยนระเบียบโลก (Global Order) สร้างความเสี่ยงต่อองค์กรระหว่างประเทศ เช่น WTO และ NATO

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเศรษฐกิจไทย จะเติบโตที่ 2.4% ช้าลงกว่าปี 2567 เล็กน้อย จากการท่องเที่ยวที่ลดลงเข้าใกล้ระดับก่อนโควิด เช่นเดียวกับการส่งออกที่คาดว่าจะโตช้าลงจากผลกระทบของสงครามการค้า ทั้งโดยตรงจากตลาดสหรัฐฯ และโดยอ้อมจากการแข่งขันกับสินค้าจีนในตลาดอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐขยายตัวดีกว่าปีก่อน รวมถึงการลงทุนเอกชนปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องไปกับ FDIs ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยยังสูง จากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า เศรษฐกิจของโลกชะลอตัวลงโดยเฉพาะจีน และภาคการผลิตของไทยที่เจอภาวะการแข่งขันสูงจากสินค้าจีนท่ามกลางขีดความสามารถที่ลดลง

สถานการณ์อุตสาหกรรมไทย ดีขึ้นได้ไม่มากนัก

  • ท่ามกลางหลายปัจจัยกดดัน จากทั้งสงครามการค้าภายใต้ทรัมป์ 2.0 ส่งผลต่อการส่งออกและการผลิต ขณะที่มาตรการภาครัฐอาจกระทบต้นทุน และประเด็นเชิงโครงสร้างทำให้การใช้จ่ายต้องระมัดระวัง
  • ธุรกิจขนาดกลางลงล่าง ยังฟื้นตัวได้ช้า และเสี่ยงว่าผู้ประกอบการอาจลดลงอีก
  • ภาคการค้าและการบริการ แม้จะมีจำนวนผู้ประกอบการเพิ่ม แต่การยืนระยะธุรกิจคงไม่ง่าย

แนวโน้มสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย เติบโตช้าและต่ำ

  • มีอัตราการขยายตัวราว 0.6% จากปี 2567
  • คาดว่าจะหดตัว 1.8% จากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง กดดันให้สินเชื่อรายย่อยหดตัวต่อเนื่อง
  • หนี้ด้อยคุณภาพ เป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวัง ทั้งสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อเอสเอ็มอี

ทั้งนี้ ยังได้วิเคราะห์ข้อมูลสินเชื่อธุรกิจ จากฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้นิติบุคคลของเครดิตบูโร พบ 5 ประเด็นสำคัญ คือ

1) หนี้ธุรกิจไทยกลับมาถดถอยลงตั้งแต่ปลายปี 66 ถึงต้นปี 67 จากมาตรการช่วยเหลือการเงินช่วงโควิด

2) ธุรกิจยิ่งเล็ก ปัญหาหนี้เสียยิ่งรุนแรง

3) สถาบันการเงินทุกประเภทปล่อยสินเชื่อให้เผชิญกับหนี้เสียชัดเจนมากขึ้น

4) ธุรกิจขนาดเล็กและกลางน่าห่วงมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มปัญหาหนี้เรื้อรัง และเป็นหนี้ด้อยคุณภาพช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

5) ประเภทธุรกิจหลักที่มีปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ คือ อสังหาฯ ค้าส่งค้าปลีก ที่พักและอาหาร และภาคการผลิต สะท้อนปัญหาเฉพาะหน้า เช่น อำนาจการซื้อที่ลดลง การแข่งขันรุนแรง และการฟื้นตัวของธุรกิจที่ไม่กระจาย รวมถึงสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างจากความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย

ซึ่งจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ SME ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 ชี้ว่าการสนับสนุนเศรษฐกิจภาพรวมให้เติบโตต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลดีต่อรายได้ของธุรกิจ จะเป็นหนึ่งในทางออกที่ยั่งยืน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : สุรเกียรติ์ ชี้ 6 ปัจจัย ไทยยังไม่พร้อมรับมือ “ดิสรับชั่น”