“พิชัย” รมว.คลัง เผยเตรียมเสนอแผนการคลังระยะปานกลาง ต่อ ครม. วันพรุ่งนี้ (24 ธ.ค.) มีเป้าหมายรักษาการขาดดุลไม่ให้เพิ่ม และมีแนวโน้มการขาดดุลลดลงใน 4 ปีข้างหน้า พร้อมรักษาระดับการก่อหนี้ใหม่ ไม่ให้เกิน 70% ต่อจีดีพี ลั่นขับเคลื่อน 4 เครื่องจักรเศรษฐกิจ หนุนสถานะการคลังของไทยให้มั่นคงขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นประธาน เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบร่างแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2569-2573 โดยจะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้
ทั้งนี้ นายพิชัย เปิดเผยว่า การจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางครั้งนี้ มีการกำหนดเป้าหมายการคลัง ที่มุ่งเน้นการรักษาขนาดการขาดดุลไม่ให้เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มการขาดดุลลดลงใน 4 ปีข้างหน้า รวมทั้งรักษาระดับการก่อหนี้ใหม่ ไม่ให้ระดับหนี้สาธารณะเกิน 70% ต่อจีดีพี ตามกรอบวินัยการเงินการคลัง
สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดทำแผนการคลังคือต้องการให้มีการใช้งบประมาณอย่างถูกต้อง เหมาะสม และรักษาสถานะการเงินการคลังให้มีความมั่นคง โดยมีการประเมินผ่านตัวชี้วัด 4-5 ตัว ไม่ให้เกินเกณฑ์ตามวินัยการเงินการคลัง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทย ทำงบประมาณเกินดุลไว้มาก ดังนั้นแผนการคลังใน 4 ปีข้างหน้า ต้องแสดงให้เห็นว่า การขาดดุลเมื่อเทียบกับจีดีพี จะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า จะต้องมีการพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพ การจัดทำงบประมาณเพื่อไม่ทำให้ขนาดการขาดดุลเพิ่มขึ้น และทบทวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยรายจ่ายประจำให้ปรับลดลง เพื่อจัดสรรส่วนที่เกินดุลให้เป็นงบประมาณรายจ่ายลงทุน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป
“การพิจารณาลดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็น จะต้องมีการพูดคุยกัน ซึ่งทางตนจะเป็นคนนั่งหัวโต๊ะ เพื่อสั่งการเร่งทำให้ส่วนที่เป็นรายจ่ายที่ยังล่าช้าลดลง ซึ่งรายจ่ายประจำที่มีขนาดใหญ่ คืออัตราเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น และกำลังคนที่เพิ่มขึ้น” นายพิชัย กล่าว
นอกจากนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจ จะเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สถานะการคลังของไทยมั่นคงขึ้น โดยการขับเคลื่อน 4 เครื่องจักรเศรษฐกิจ ได้แก่ 1.การท่องเที่ยว 2.ความเชื่อมั่นการบริโภคภาคเอกชน 3.การลงทุน และ 4.การส่งออก
“รัฐบาลจะต้องเร่งการทำงาน เพื่อให้เครื่องจักรเศรษฐกิจเหล่านี้ ขยายตัวได้ ผ่านการดำเนินมาตรการต่างๆ ทั้งการกระตุ้นการใช้จ่าย การเร่งรัดการลงทุนให้เกิดผล โดยไทยต้องเตรียมพร้อมในสิ่งที่ยังขาดทั้งเรื่องที่ดิน และพลังงานสะอาด รวมทั้งการสนับสนุนกลไกเพิ่มรายได้จากภาคส่งออก”
นายพิชัย กล่าวต่อว่า การปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก เป็นเรื่องจำเป็น โดยตนเจ็บตัวมามากกับเรื่องนี้ แต่ก็คิดว่าคุ้มค่า เพื่อเตือนให้คนรู้สึกระวังตัว ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ไม่ทำไม่ได้ การเพิ่มการจัดเก็บรายได้รัฐบาลจะสามารถนำมาจัดสรรงบประมาณ เพื่อชดเชยให้คนที่มีรายได้น้อยได้
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศไทย ไม่ใช่การรัดเข็มขัด แต่ต้องสู้เพื่อเพิ่มการขยายตัวของเศรษฐกิจให้ได้ โดยต้องเริ่มที่การสร้างความเชื่อมั่น เมื่อคนมั่นใจ ส่งออกดี การลงทุนก็จะตามเข้ามาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 68 ภาครัฐมีภาระหนี้ที่ต้องชำระรวมทั้งสิ้น 299,000 ล้านบาท แบ่งเป็นต้นเงิน88,000 ล้านบาท และดอกเบี้ย 210,000 ล้านบาท ซึ่งภาระหนี้ส่วนใหญ่ เป็นหนี้ที่ครบกำหนดจากการกู้ระยะสั้นช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
โดยมีการออกตั๋วเงินคลังอายุ 3 ปี ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ฉบับ 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งแนวทางบริหาร สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ทยอยครบกำหนด จากหนี้ระยะสั้นไปเป็นหนี้ระยะยาว ให้มีอายุไม่ต่ำกว่า 10-15 ปี จากปัจจุบันอายุเฉลี่ยหนี้ของรัฐบาลอยู่ที่ 9 ปี 9 เดือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : คลัง เผยครม.เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบ 68-71