“สุรพงษ์” สั่ง ขบ. ตรวจสอบรถโดยสาร เชื้อเพลิง CNG ทั้งหมด 13,426 คันใหม่



“สุรพงษ์” สั่งกรมการขนส่งทางบก ตรวจสอบรถโดยสาร ใช้เชื้อเพลิง CNG ทั้งหมด 13,426 คันใหม่ ขีดเส้นเสร็จภายใน 2 เดือน พร้อมปรับกฎเกณฑ์ ให้ผู้ประกอบการรถโดยสารไม่ประจำทาง มีเด็กท้ายรถ

  • พร้อมแนะนำการใช้รถก่อนออกเดินทางเหมือนสายการบิน ป้องไม่ให้เกิดการสูญเสียซ้ำรอยเดิม
  • มอบ ขบ.ประสานกระทรวงศึกษาตรวจเช็คสภาพรถ ก่อนออกทัศนศึกษาทุกครั้ง
  • ด้าน ขบ.เด้งรับ เตรียมแก้กฎหมายคุมมาตรฐาน อายุ รถโดยสารไม่ประจำทาง

วันนี้ (2 ต.ค.67) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางป้องกันอุบัติเหตุ กรณีการเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้รถโดยสารไม่ประจำทางหมายเลขทะเบียน 30-0423 สิงห์บุรี (รถโดยสารชั้นเดียว ปรับอากาศ)

ซึ่งบรรทุกเด็กนักเรียนและครูจำนวน 45 ราย เดินทางออกจากจังหวัดอุทัยธานี ว่า เบื้องต้นทางกรมการขนส่งทางบก (ขบ) ได้ยกเลิกใบอนุญาติผู้ประกอบการของผู้ประกอบการรถคันที่เกิดเหตุทั้งหมดแล้ว

ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นมาตรการป้องกันได้สั่งการให้ ขบ. เรียกรถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทางและไม่ประจำทาง ที่ใช้เชื้อเพลิง CNG ทั้งหมดจำนวน 13,426 คัน

โดยแบ่งเป็น รถโดยสารประจำทาง จำนวน 10,491 คัน และรถไม่ประจำทาง ประเภท 30 จำนวน 2,935 คัน ให้กลับเข้ามารับการตรวจสภาพรถภายใน 60 วัน ทั้งนี้หากพบว่ารถดังกล่าวไม่ผ่านการตรวจสภาพจะถูกยึดใบอนุญาตรถทันที

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการประกอบการขนส่งรถโดยสารไม่ประจำทาง (30) ทั้งระบบ ให้ ขบ.ออกกฎหมายบังคับให้ รถ30 จะต้องมีพนักงานขับรถ และเด็กประจำรถ(เด็กท้ายรถ)1คน จากเดิมไม่มีกฎหมายบังคับควบคุมว่าต้องมีเด็กท้ายรถเหมือนกับรถโดยสารประจำทาง

รวมถึง ให้ ขบ.บูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษาและสถานศึกษาทั่วประเทศ กรณีที่ต้องมีการนำรถโดยสารไม่ประจำทางในการทัศนาจร ศึกษา ก่อนออกรถจะต้องนำรถเช่าเหมาหรือรถโดยสารไม่ประจำทางให้เจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งจังหวัด ตรวจสอบความปลอดภัยก่อนออกเดินทางทุกครั้ง

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า เพื่อให้การให้บริการรถโดยสารไม่ประจำทางมีความปลอดภัยและสร้างความเข้าใจมากขึ้นของผู้โดยสาร ขบ.จะออกกฎหมายบังคับพนักงานประจำรถ ต้องได้รับการอบรมและผ่านการทดสอบหลักสูตรการเผชิญเหตุและการช่วยเหลือผู้โดยสาร (Crisis Management)

ขณะเดียวกัน พนักงานประจำรถ จะต้องแนะนำข้อมูลทางออกฉุกเฉิน และอุปกรณ์ช่วยเหลือที่ต้องใช้ในกรณีฉุกเฉิน ให้ผู้โดยสารรับทราบ เช่นเดียวกับกรณีสายการบิน ที่แนะนำผู้โดยสารก่อนออกเดินทาง

“กระทรวงคมนาคม ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ วันนี้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับมาตรฐานทุกมิติ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และฝากถึงผู้ประกอบการขอให้ช่วยตรวจสอบรถ พนักงานขับรถและผู้ประจำรถ ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียอีกต่อไป” นายสุรพงษ์ กล่าว

ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า สำหรับการตรวจสอบสภาพรถและการตรวจสอบถังแก๊ส CNG นั้น ตามปกติกรมฯจะมีการตรวจสภาพรถ 2 ครั้งต่อปี โดยกำหนดให้ในรอบปีภาษีผู้ประกอบการต้องผ่านการตรวจสภาพจากวิศวกรผู้ดูแล 1 ครั้ง และเมื่อครบสิ้นปีการชำระภาษีรถต้องผ่านการตรวจสภาพรถจากกรมฯ อีก 1 ครั้ง เช่น รอยรั่วของก๊าซ,อายุการใช้งาน ตลอดจนการตรวจเช็คการเสียดสีของถังแก๊ส

“ในทางปฎิบัติตามมติคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง 3/2568 ระบุว่ารถโดยสารไม่ประจำทาง 30 ไม่มีการกำหนดอายุการใช้งานเลขตัวถังรถ (คลัทซี) แต่รถโดยสารประจำทางที่มี ระยะทางไม่เกิน 300 กม. กำหนดให้มีอายุการใช้งานของคัสซีรถไม่เกิน 40 ปี

รถโดยสารประจำทางที่มี ระยะทางไม่เกิน 300-500 กม.จะกำหนดอายุ คลัทซี ไม่เกิน 35 ปี, รถโดยสารประจำทางที่มี ระยะทางเกิน500 กม.จะกำหนดอายุ คลัทซี ไม่เกิน 30 ปี ส่วนรถหมวด 1 ที่วิ่งในเมืองอายุคลัทซีไม่เกิน 50 ปี ซึ่งทาง ขบ.จะมีการประชุมในรายละเอียดเพื่อกำหนดกรอบและมาตรฐานรถโดยสารไม่จำทาง 30 ในเรื่องของข้อกำหนด อายุการใช้งานรถ รวมถึงคนรถเพิ่มเติม หากต้องมีการแก้กฎหมายก็จะเร่งดำเนินการ” นายจิรุตม์ กล่าว

ด้านนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ประกอบด้วยสภาวิศกร และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางและมาตรการในการทบทวนมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะทั้งระบบ ทั้งรถตู้ รถทัวร์ รถบัส ต่างๆ ซึ่งจะดูทั้งข้อกฎหมาย มาตรฐานรถ อายุการใช้งานรถโดยสารสาธารณะใหม่

กรมการขนส่งทางบก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “สุริยะ” มอบ “สุรพงษ์” จัดประชุมขบ. ด่วนเล็งเพิ่มมาตรการป้องกันเหตุรถบัสไฟไหม้