สรุปวิชั่น “ไทยเบฟ 2030” ลุยขับเคลื่อนองค์กรเติบโต สู่ความยั่งยืน



“ฐาปน” นำทัพ กลุ่มบริษัทไทยเบฟ รุกต่อเนื่อง ขับเคลื่อนการเติบโต สู่ความยั่งยืน ผ่าน PASSION 2030 ชูเสริมแกร่งตำแหน่งในตลาด และตราสินค้าของบริษัท รวมทั้งนำศักยภาพของบริษัท มาทำให้เกิดมูลค่าสูงสุดในทุกธุรกิจมุ่ง สู่ความยั่งยืน

  • เผย 9 เดือนแรกปี 67 มีรายได้จากการขายรวม 217,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
  • ปักหมุดชูสุราพรีเมียมไทย เป็นที่รู้จักทั่วโลก มุ่งเน้นนำเสนอสุราที่มีคุณภาพระดับสากล
  • ด้านธุรกิจเบียร์ 9 เดือนแรกปี 67 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ เติบโตที่ 10.2% ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น 0.6% ที่93,793 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงแผนงาน PASSION 2030 ซึ่งต่อยอดการดำเนินงานของกลุ่ม ในการเสริมความแข็งแกร่งสถานะผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหาร พร้อมทั้งวางเป้าหมายและแผนการเติบโตในช่วงห้าปีข้างหน้าเพื่อ ‘สรรสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน’ (Enabling Sustainable Growth)

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีความยินดีที่จะแถลงว่าเรามีความคืบหน้าที่ดีในการสรรสร้างความสามารถ เสริมแกร่งตำแหน่งในตลาด และตราสินค้าของบริษัทรวมทั้งนำศักยภาพของไทยเบฟที่มีอยู่มาก่อให้เกิดมูลค่าสูงสุดในทุกธุรกิจ แม้ที่ผ่านมาจะมีความท้าทายด้านการดำเนินงานและต้นทุน อันเป็นผลมาจากความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

แต่บริษัทก็สามารถก้าวข้ามอุปสรรคมาได้ ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่ง และการบริหารอัตรากำไรและความเสี่ยงอย่างมีวินัย โดยความทุ่มเทร่วมมือร่วมใจกันของกลุ่มไทยเบฟ ทำให้มีผลการดำเนินงานดีในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2567 เช่นเดียวกับในช่วงห้าปีที่ผ่านมา

“วันนี้ไทยเบฟกำลังมองไปข้างหน้า โดยนำจุดแข็งทางการแข่งขัน และขีดความสามารถหลักของเรามาเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตและสร้างมูลค่าให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม”

มุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืนสู่ PASSION 2030

นายฐาปน กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต ตามพันธกิจขององค์กร ไทยเบฟต่อยอดความสำเร็จจากแผน PASSION 2025 ด้วยการเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนสู่ PASSION 2030 ซึ่งเป็นแผนการดำเนินงานของกลุ่ม เพื่อมุ่งสู่การสู่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในช่วงห้าปีข้างหน้า

การกระจายสินค้าด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่ง (Reach Competitively) กลุ่มมุ่งมั่นพัฒนาการส่งมอบสินค้าและบริการ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในช่องทางต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง และขยายขอบเขตให้ครอบคลุมทุกช่องทาง รวมทั้งเจาะตลาดได้อย่างครบวงจรไร้รอยต่อ ด้วยศักยภาพอันแข็งแกร่ง ที่พร้อมแข่งขันทั้งในด้านต้นทุนและการให้บริการที่มีคุณภาพ

ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต (Digital for Growth) กลุ่มมีความตั้งใจที่จะขยายการนำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาใช้ รวมถึงประยุกต์ใช้ระบบขายอัตโนมัติ (sales automation) เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต การดำเนินงาน รวมถึงการกระจายสินค้า

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า อีกทั้งเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต

ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน 2567 ไทยเบฟได้รับเสียงอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในการทำธุรกรรมแลกหุ้นระหว่างบริษัท อินเตอร์เบฟ อินเวสท์เม้นท์ ลิมิเต็ด (“IBIL”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ไทยเบฟถือหุ้นโดยอ้อมทั้งหมด และบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ ลิมิเต็ด (“TCCAL”) โดย IBIL จะทำการโอนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท เฟรเซอร์สพร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด (“FPL”) ทั้งหมด 28.78% ให้แก่ TCCAL และ TCCAL จะโอนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท เฟรเซอร์แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) 41.30% ให้แก่ IBIL

โดยธุรกรรมดังกล่าว ส่งผลให้ IBIL มีสัดส่วนการถือหุ้นใน F&N เพิ่มขึ้นเป็น 69.61% โดยกลุ่มจะมุ่งเน้นการรวมธุรกิจ และการดำเนินงานของ F&N เข้ากับไทยเบฟ ซึ่งจะเสริมแกร่งศักยภาพในการแข่งขันของกลุ่มในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผลิตภัณฑ์นม พร้อมทั้งสร้างประโยชน์จากการผนึกกำลังร่วมกัน และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และขยายตลาดของกลุ่มให้หลากหลายยิ่งขึ้น

นายฐาปน กล่าวด้วยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 217,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) 38,595 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจเบียร์ และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อันเป็นผลจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

ชูสุราพรีเมียมไทย ดังไกลไปทั่วโลก

สำหรับธุรกิจสุรา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ธุรกิจสุรามีรายได้จากการขาย 92,788 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.9% จากปีที่แล้ว และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลง 1.3% สาเหตุหลักมาจากปริมาณขายรวมที่ลดลง 2.7% เนื่องจากการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี การชะลอตัวในประเทศไทยถูกชดเชยได้บางส่วนจากธุรกิจในประเทศเมียนมาที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากปีก่อน ทั้งรายได้จากการขายและกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA)

นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการต่างประเทศ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าเสริมสร้างตราสินค้าหลักของเราในไทยอย่างรวงข้าว หงส์ทอง แสงโสม และเบลนด์ 285 ให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พร้อมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ ผ่านการดำเนินกิจกรรมของตราสินค้าต่าง ๆ และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อเสริมสถานะความเป็นผู้นำของไทยเบฟให้มั่นคงยิ่งขึ้น ทั้งในตลาดสุราขาวและสุราสี

ทั้งนี้ หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของไทยเบฟ คือการทำให้สุราพรีเมียมของไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ด้วยการมุ่งเน้นนำเสนอสุราที่มีคุณภาพระดับสากลผ่านตราสินค้าหลักอย่าง แสงโสม แม่โขง พระยา รัม และรวงข้าว สยาม แซฟไฟร์ และเพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นดังกล่าว ไทยเบฟได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์สุราระดับพรีเมียม

เปิดตัวซิงเกิลมอลต์วิสกี้พรีเมียม แบรนด์แรกของไทย

ผ่านการเปิดตัว PRAKAAN (ปราการ) ผลิตภัณฑ์ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมแบรนด์แรกของไทย ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งจะเข้ามาเสริมทัพกลุ่มตราสินค้าหลักในการขับเคลื่อนสุราระดับพรีเมียมของไทยสู่เวทีระดับโลก

“เราภาคภูมิใจที่ได้เป็นผู้บุกเบิกในการทำให้ประเทศไทย ไปอยู่บนแผนที่ของตลาดวิสกี้โลก โดย PRAKAAN (ปราการ) โดยมีแผนเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบเครื่องดื่มวิสกี้ประเภท New World ในประเทศไทย สหรัฐอเมริกาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น” นายประภากร กล่าว

สำหรับตลาดต่างประเทศ ไทยเบฟเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่หลากหลายทั้งวิสกี้จากสกอตแลนด์ คอนญักจากฝรั่งเศส วิสกี้จากนิวซีแลนด์ ซิงเกิล มอลต์ วิสกี้และรัมระดับพรีเมียมจากไทย

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายกำลังการผลิตในนิวซีแลนด์ ส่วนในประเทศเมียนมา แกรนด์ รอยัลวิสกี้ ยังคงมีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งและยังครองตำแหน่งวิสกี้อันดับหนึ่งในประเทศไว้ได้แม้จะมีความท้าทายในตลาดอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจสุรายังยึดมั่นดำเนินงานเพื่อความยั่งยืน โดยโครงการที่สำคัญ ได้แก่ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผ่านการติดตั้งแผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงานหลายแห่งทั้งในไทยและต่างประเทศ การนำผลพลอยได้จากกระบวนการกลั่นแอลกอฮอล์ ไปผลิตเป็นก๊าซชีวภาพที่โรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และการล้างขวดแก้วใหม่โดยใช้เครื่องล้างแบบหมุน ซึ่งช่วยให้กลุ่มสามารถประหยัดน้ำในการทำความสะอาดขวดได้

ลุยต่อเนื่องธุรกิจเบียร์ ผุดโรงงานผลิตในกัมพูชา

ด้านธุรกิจเบียร์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ของธุรกิจเบียร์เติบโตอย่างน่าพอใจที่ 10.2% ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น 0.6% เป็น 93,793 ล้านบาทอันเป็นผลจากการลงทุนในตราสินค้า และกิจกรรมทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง และการผลิตมีที่ประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ปริมาณขายรวมจะลดลง 2.9% ก็ตาม

นายไมเคิล ไชน์ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ กล่าวว่า ธุรกิจเบียร์ของบริษัทในประเทศไทย มีปริมาณขายที่เติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะในช่วงกลางปี 2567 จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีการบริโภคเพิ่มขึ้น

ในส่วนของธุรกิจในเวียดนาม ยังคงเผชิญความท้าทายจากการบริโภคที่ลดลง จากสภาวะเศรษฐกิจมหภาค และการบังคับใช้กฤษฎีกาฉบับที่ 100 อย่างเข้มงวด ซึ่งกำหนดบทลงโทษที่รุนแรง สำหรับผู้กระทำผิดข้อหาเมาแล้วขับ

อย่างไรก็ดี การเสริมแกร่งของธุรกิจในเมียนมาจากการรวมธุรกิจ F&N เข้ามาเป็นบริษัทย่อย รวมถึงการขยายสู่ตลาดกัมพูชา นับเป็นโอกาสดีที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจเบียร์ของไทยเบฟ

นายไมเคิล กล่าวด้วยว่า กัมพูชาเป็นตลาดเบียร์ที่เติบโตเร็วที่สุด และใหญ่เป็นอันดับสี่ของอาเซียน เมื่อวัดจากปริมาณขาย โดยมีปริมาณการบริโภครวมต่อปีประมาณ 10 ล้านเฮกโตลิตร ดังนั้น เราจึงเล็งเห็นโอสาสและได้เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตเบียร์ในกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงต้นปี 2569 และมีกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 50 ล้านลิตรเมื่อเปิดดำเนินการ

“เรายังคงเห็นโอกาสในการเติบโตและมุ่งมั่นดำเนินกลยุทธ์ในตลาดหลักของเรา แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังระมัดระวังถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยคาดว่า ธุรกิจเบียร์จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ รวมทั้งมีผลการดำเนินงานที่ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายไมเคิล กล่าว

สำหรับธุรกิจเบียร์ ในประเทศไทย นายทรงวิทย์ ศรีธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งเน้นการผลักดันตราสินค้าหลัก อย่างเบียร์ช้างสู่การเป็นอันดับหนึ่งในตลาดประเทศไทย โดยกำหนดกลยุทธ์สำคัญ 6 ประการ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า

โดยกลยุทธ์หลัก 6 ประการ ประกอบด้วย เสริมแกร่งความเป็นผู้นำ (Strengthen Leadership) ด้วยการเพิ่มสัดส่วนพื้นที่บนชั้นวางสินค้าในร้านค้าอย่างยั่งยืน เพิ่มการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค และสร้างความตื่นเต้นผ่านแพลตฟอร์มและช่องทางที่หลากหลาย ยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Portfolio Premiumization) ผ่านการพัฒนาตราสินค้าแมสพรีเมียมอย่างต่อเนื่อง ทั้งช้างโคลด์บรูว์เฟเดอร์บรอย และช้าง อันพาสเจอไรซ์ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของแผนการขาย พัฒนาแผนการตลาด และการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ

พัฒนาความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน (Operational Excellence) จากการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้นมีเป้าหมายเพื่อที่จะให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกในกระบวนการจัดซื้อ การผลิต และห่วงโซ่คุณค่า ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Technological Transformation) โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกด้านของการดำเนินงานและกระบวนการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและดียิ่งขึ้น

การลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล (People Investment) โดยมุ่งเน้นสามสิ่งสำคัญ ได้แก่ การสร้างโอกาสให้แก่พนักงานมากยิ่งขึ้น การพัฒนาทักษะใหม่ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability) โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งได้จากพลังงานแสงอาทิตย์และไอน้ำเชื้อเพลิงชีวมวล อีกทั้งยังยึดมั่นในการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ส่วนธุรกิจเบียร์ ในประเทศเวียดนาม นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซาเบโก้ กล่าวว่า Bia Saigon ยังคงเป็นตราสินค้าเบียร์อันดับหนึ่งในเวียดนาม โดยบริษัทยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของตำแหน่งผู้นำผ่านการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้า โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเมืองสำคัญต่าง ๆ ผ่านการทำงานร่วมกันอย่างอย่างใกล้ชิดภายในของทีมการค้า เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้ เมื่อมองถึงการฟื้นตัวของตลาดโดยรวมในอนาคต ไทยเบฟได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค โดยมั่นใจว่า บริษัทมีความพร้อมที่จะคว้าโอกาสในการเติบโตใหม่ๆ ในตลาด เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำ และผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ไทยเบฟปรับทัพผู้บริหาร “ฐาปน” เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เสริมแกร่งองค์กรสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน