

กรมสรรพากร เผยผลงาน จัดเก็บภาษี 11 เดือน สามารถจัดเก็บภาษีได้กว่า 1.96 ล้านล้านบาท สูงกว่าประมาณการงบประมาณถึง 8,482 ล้านบาท รวมถึงสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 47,911 ล้านบาท ชี้เหตุจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ เริ่มขยับไปในทิศทางที่ดีขึ้น ลั่นจบปีงบประมาณ 67 จัดเก็บภาษี เข้าเป้าแน่ที่ 2.28 ล้านล้านบาท
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ 2567 นี้ (ต.ค.66 – ส.ค.67) กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีได้กว่า 1.96 ล้านล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณถึง 8,482 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.4% รวมถึงสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 47,911 ล้านบาท หรือกว่า 2.5% โดยการจัดเก็บภาษีได้เกินเป้าหมาย ส่วนหนึ่งสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่เริ่มไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ประกอบกับการมีมาตรการด้านภาษีของรับบาลในช่วงที่ผ่านมา อาทิ มาตรการ Easy E-Receipt ที่ช่วยเหลือประชาชนและร้านค้า ที่เข้าร่วมออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นมาตรการภาษีสำหรับประชาชน ที่ใช้บริการหรือซื้อสินค้า จากร้านค้าดังกล่าว สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2567
รวมถึงมาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ที่เป็นแรงส่งให้การจัดเก็บภาษี ของกรมสรรพากรในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศ ยังคงขยายตัวได้ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน กว่า 7.7%
“จากแนวโน้มการจัดเก็บภาษีที่ดีขึ้น มั่นใจว่าสิ้นปีงบประมาณ 2567 กรมสรรพากรจะสามารถ จัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ 2.28 ล้านล้านบาท สำหรับเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ในปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 2.37 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีงบประมาณก่อนหน้า 4.2%” นางสาวกุลยา กล่าว
นางสาวกุลยา กล่าวด้วยว่า การที่กรมสรรพากร สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายที่กระทรวงการคลังได้มอบหมายไว้ เป็นส่วนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศเอาไว้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ ณ ขณะจัดทำประมาณการปี 2567 ซึ่งคาดว่าจีดีพี จะขยายตัวกว่า 3.2%
แต่ล่าสุดสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ปรับลดแนวโน้มจีดีพี ปี 2567 ว่าจะขยายตัวเพียง 2.5% จากตัวเลขจีดีพีครึ่งปี ที่ขยายตัวต่ำที่เพียง 1.9% ถือเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือร่วมใจ ของเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร ที่พร้อมใจกันขับเคลื่อนกรมฯ ให้เป็นองค์กรที่นำเทคโนโลยี มายกระดับการบริการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร
โดยตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุตัวผู้เสียภาษี ที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ ต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษี พร้อมกับส่งจดหมายแจ้งเตือนผู้เสียภาษีให้เข้าสู่ระบบภาษี หรือให้ชำระภาษีตามกำหนดเวลา การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีในการตรวจสอบ
และ Pre-Fill ข้อมูลเงินได้ สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผ่านระบบ My Tax Account สำหรับผู้เสียภาษีที่ยืนยันตัวตนด้วย Digital ID ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้เสียภาษี สามารถตรวจสอบข้อมูลทางภาษีได้สะดวกขึ้น ล้วนมีส่วนสนับสนุนให้การจัดเก็บภาษี ของกรมสรรพากรในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปตามเป้าหมายทั้งสิ้น
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังคงเดินหน้าสานต่อนโยบาย “oneRD : ONE TEAM ONE SEAMLESS TAX ECOSYSTEM” ตามที่ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ริเริ่มไว้ ทำภาษีให้ง่ายและไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น เตรียมความพร้อมสู่ระบบภาษีอากรที่เป็นดิจิทัล อย่างเต็มรูปแบบ โดยในช่วงต้นปี 2568 กรมสรรพากร จะยกระดับบริการทางภาษี และแสดงข้อมูลทางภาษีให้ครบถ้วน
โดยเปิดให้บริการ One Portal : My Tax เริ่มให้บริการกลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และต่อยอดการกำหนดให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย ภ.ง.ด.3 ทางอิเล็กทรอนิกส์ เท่านั้น โดยได้เริ่มใช้ในปีที่ผ่านมา กับแบบ ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.1 ก และ ภ.ง.ด.1 ก พิเศษ
รวมถึงได้วางแผนการพัฒนา น้องอารีย์ Chatbot ด้วยการนำ ChatGPT เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ ในการให้บริการตอบคำถาม ในมิติของการทำงานของเจ้าหน้าที่ กรมสรรพากร
ยังมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และการใช้เทคโนโลยี AI กับการประมวลผลข้อมูลภายในของกรมสรรพากร ร่วมกับข้อมูลที่ได้รับจากการเชื่อมโยง หรือแลกเปลี่ยนจากภายนอก เช่น ข้อมูลบัญชีทางการเงินที่มีธุรกรรมลักษณะเฉพาะ ข้อมูลบัญชีพิเศษจากอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์ม เป็นต้น
ในการประเมินและวิเคราะห์หาพฤติกรรมของผู้เสียภาษี ซึ่งจะช่วยเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร ในการจัดกลุ่มผู้เสียภาษีตามความเสี่ยง และสามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในมิติต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบก่อนการคืนเงินภาษี หากเป็นผู้เสียภาษีกลุ่มเสี่ยง ก็จะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนคืนเงินภาษี
สำหรับการสร้างความเป็นธรรม และความทั่วถึงในการจัดเก็บภาษีอากร กรมสรรพากร ยังคงให้ความสำคัญในการเสนอแนะ และจัดทำนโยบายทางภาษีที่เหมาะสม และสอดคล้อง กับสภาพเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขาย Low-Value Goods รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์ หรือกฎหมายการจัดเก็บภาษี ให้มีความทันสมัย
โดยกรมสรรพากรอยู่ระหว่างเร่งเสนอกฎหมาย และเตรียมความพร้อมรองรับการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม ตามหลักการ Pillar 2 การจัดเก็บภาษี เงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ (Global Minimum Tax) ที่กำหนดให้กลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่ เสียภาษีเงินได้ในอัตราภาษี ที่แท้จริงไม่น้อยกว่า 15%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “ศุลกากร-สรรพากร” จับมือ เชื่อมระบบใบเสร็จรับเงิน กศก. 123