“กรุงไทย” มองอานิสงส์รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ทำการลงทุนอีสานบูม

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS มองโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว การพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มีผลให้การลงทุนในพื้นที่นี้พุ่งกว่า 7.6 แสนล้าน ใน 5 ปีข้างหน้า

  • แบ่งเป็นเม็ดเงินจากการลงทุนภาครัฐ 6.4 แสนล้านบาท พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่
  • เม็ดเงินจากการลงทุนของภาคเอกชน คาดว่าจะตามมาอีกอย่างน้อย 1.2 แสนล้านบาท
  • แนะผู้ประกอบการคว้าโอกาสทางธุรกิจ เตรียมความพร้อมจากการลงทุนที่จะเกิดขึ้น

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้ให้บริการขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้าเต็มรูปแบบในเส้นทางคุนหมิง-เวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะส่งผลบวกโดยตรงต่อการค้าการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ที่เป็นพื้นที่เชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงเส้นทางดังกล่าว ขณะที่ภาครัฐของไทยได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับเศรษฐกิจในภูมิภาคที่คาดว่าจะคึกคักมากขึ้นในอนาคต

“เม็ดเงินลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ราว 7.6 แสนล้านบาท เป็นอย่างน้อย โดยแบ่งเป็น 1. เม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐ 6.4 แสนล้านบาท ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และสนามบินรวมถึงการลงทุนในการส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้าชายแดน เมืองอัจฉริยะ นิคมอุตสาหกรรม และเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ 2. เม็ดเงินจากการลงทุนของภาคเอกชนที่คาดว่าจะตามมาอีกอย่างน้อยราว 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนเหล่านี้จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการทั้งในและนอกภูมิภาคตามมาอีกด้วย” ดร.พชรพจน์ กล่าว

ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า จากการศึกษาและประเมินจังหวัดที่มีศักยภาพของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด 20 จังหวัด พบว่า กลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 6 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี มุกดาหาร ขอนแก่น หนองคาย นครพนม และบึงกาฬ เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพในการเติบโตจากการลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค และการค้าการลงทุนที่ขยายตัวมากขึ้นในระยะถัดไป

โดย 5 ธุรกิจเด่นที่เป็นโอกาสในแต่ละจังหวัดเหล่านี้ ได้แก่ 1. ก่อสร้าง 2. โลจิสติกส์ (Logistics) 3. ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (Auto Dealer) 4. น้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas) และ 5. โรงพยาบาลและการดูแลสุขภาพ(Healthcare) โดยธุรกิจเหล่านี้จะได้รับแรงขับเคลื่อนการพัฒนา 3 ด้านหลักที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ได้แก่ 1. ด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมที่กำลังก่อสร้างในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ รถไฟทางคู่เส้นทางบ้านไผ่-นครพนม และเส้นทางขอนแก่น-หนองคาย รถไฟความเร็วสูงเส้นทางนครราชสีมา-หนองคาย สนามบินมุกดาหาร

2. ด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ โดยเฉพาะในขอนแก่น ซึ่งมีสถานพยาบาลที่มีคุณภาพการให้บริการระดับสากล รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา โดยเฉพาะในอุดรธานีและบึงกาฬ และ 3. ด้านการลงทุน ได้แก่นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เมืองอัจฉริยะขอนแก่น

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรเตรียมความพร้อมด้านการให้บริการและบุคลากร รวมทั้งควรเตรียมความพร้อมในมิติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมด้วย ยกตัวอย่างเช่น การลดฝุ่น PM 2.5 การศึกษาแนวทางโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) เช่น การใช้รถบรรทุกไฟฟ้า การดักจับก๊าซเรือนกระจก และการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนจากโซลาร์เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมเหล่านี้จะทำให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนในอนาคตขณะที่ภาครัฐควรเร่งขับเคลื่อนแผนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เชื่อมโยงกับรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor: NeEC) ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการค้าการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น