โดนสั่งจอด! “จุลพันธ์” ยืดอกรับแจกดิจิทัล วอลเล็ต ไม่ทันใช้ พ.ค.นี้

จุลพันธ์ เผยหนังสือของ ป.ป.ช. ชัดเจนวางธงไม่ให้โครงการดิจิทัล วอลเล็ตเดินหน้า รับดำเนินโครงการไม่ทันเดือน พ.ค. นี้

  • ลั่นไม่ถอดใจเดินหน้าต่อไป แม้จะไม่สามารถทำทันกรอบเวลาที่กำหนดไว้
  • เผยต้องรอ ป.ป.ช.ส่งหนังสือมา และจะเชิญคณะกรรมการนโยบายฯ มาประชุมต่อ

วันนี้ (17 ม.ค.67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวชี้แจงถึงข้อสงสัยต่อกรณีโครงการนโยบายเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ทั้งนี้ มีช่วงหนึ่งที่กลุ่มผู้สื่อข่าวถามว่า หลายหน่วยงานทั้งกฤษฎีกา และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้มีการทบทวนโครงการดังกล่าว เพราะกลัวจะซ้ำรอยรับจำนำข้าวนายจุลพันธ์ กล่าวว่า ทางรัฐบาลก็รับฟังในประเด็นดังกล่าวนี้ ไม่ว่าประชาชนหรือหน่วยงานใดมีข้อคิดเห็น รัฐบาลก็มีหน้าที่รับฟัง พร้อมเปิดรับควาคิดเห็นที่หลากหลาย ซึ่งทางตนไม่เคยพูดว่า ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน 100%

“อยากให้ทุกฝ่ายเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก ว่าขณะนี้เศรษฐกิจประเทศไม่ได้ดี มีความต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสามารถเดินหน้าโครงการได้ เป็นวัตถุประสงค์ที่เราคาดหวัง”

ทั้งนี้ ภายหลังได้เห็นหนังสือของคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นคำตอบเชิงกฎหมาย ไม่มีคำตอบที่กล่าวไฟเขียว-ไฟแดงและไม่ได้สั่งการให้เดินหน้า มีแต่ความเห็นเรื่องกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่รับฟังและปฏิบัติตาม

นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อมีหนังสือของ ป.ป.ช. มา ก็ค่อนข้างชัดเจนว่า “มีการวางธง ไม่ให้โครงการนี้เดินหน้า” ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายที่ผ่านการเลือกตั้ง และได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว แต่ก็ยังมีความเห็นขององค์กรอื่น อาทิ ป.ป.ช. หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่แตกต่าง ซึ่งอาจจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ

“ผมต้องเรียนว่า วันนี้ถ้าดูกรอบเวลาการดำเนินโครงการไม่น่าทันภายในเดือน พ.ค. นี้ รัฐบาลยืนยันว่า ต้องดำเนินนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ต่อไป ถึงแม้จะไม่สามารถทันกรอบเวลาที่เคยกำหนดไว้”

ทั้งนี้ เมื่อดูจากข้อคิดเห็นจากสิ่งที่ออกมาต่อจากนี้ คงต้องรอให้ทาง ป.ป.ช.ส่งหนังสือมาทางรัฐบาล และต้องเชิญคณะกรรมการนโยบายเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท มาประชุม เพื่อนำเอาความเห็นของทั้ง ป.ป.ช. และกฤษฎีกา มาพิจารณาในครั้งเดียวกัน โดยจากนั้นก็จะเริ่มกระบวนการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม ในการทำความเข้าใจกับหน่วยงาน หรือองค์กรใดๆก็ตาม ที่ยังไม่เห็นถึงเจตนาดี ที่รัฐบาลกำลังพยายามทำนโยบายดังกล่าวนี้