“เศรษฐกิจพอเพียง” ทางรอดวิกฤตไทยตลอด 50 ปีที่ผ่านมา

เศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยส พร้อมด้วย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ เกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างดี


เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าขั้นโคม่าหรือไม่ ?

เมื่อหนี้ครัวเรือน ที่ยังไม่ได้รวมหนี้นอกระบบ อาจแตะไปถึง 16.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 91.4% ของจีดีพีของไทยภายในสิ้นปีนี้ จากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า รายได้ฟื้นไม่ทันรายจ่าย กำลังซื้อของครัวเรือนชะงักลง ทำให้จำเป็นต้องกู้

ขณะที่ต้นทุนทางการเงิน ที่เพิ่มขึ้นมาก กระทบความสามารถในการชำระหนี้ อีกทั้งอุปสรรคจากการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ของลูกหนี้บางส่วน ทำให้ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ และเผชิญกับปัญหาวังวนหนี้ไม่รู้จบ

ที่สำคัญคือ พฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงินที่ดี หนี้บัตรเครดิต ลีสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล โตเร็วสุดในรอบทศวรรษ

สถานการณ์หนี้ครัวเรือน จึงน่าเป็นห่วง ทั้งในด้านปริมาณหนี้ที่ไม่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเร็ว และหนี้มีคุณภาพด้อยลง

ขณะที่ หนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการกู้เงินจำนวนมากของรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ทั้งสิ้น 11.64 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.29% ของจีดีพี ณ เดือนพฤษภาคม 2567

โดยช่วง 5 เดือนแรก ของปี 2567 มีโรงงานปิดตัวลงไปแล้ว เฉลี่ย 113 แห่งต่อเดือน มีคนงานถูกเลิกจ้าง 15,342 คน เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว เมื่อเทียบกับเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน

สถานการณ์เงินเฟ้อ ของแพง ค่าแรงต่ำ ทำให้ประสบกับปัญหาข้าวยากหมากแพง สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

ทุนใหญ่ผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ ทำให้รายเล็กรายน้อยทำมาหากินได้ยากลำบาก และการเป็นสังคมผู้สูงวัย ยิ่งเป็นปัญหาซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย

เมื่อเทียบกับวิกฤตการณ์ทางการเงิน ที่เรียกกันติดปากว่า วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ซึ่งส่งผลกระทบกว้างขวาง ถึงหลายประเทศในเอเชีย และยังเป็นฝันร้ายของประเทศมาจนถึงทุกวันนี้

เพราะไทยเป็นประเทศ ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากวิกฤตการณ์ดังกล่าว จากการก่อหนี้ของเอกชน และการดำเนินการของภาครัฐที่ผิดพลาด ทำให้วิกฤตบานปลาย ค่าเงินบาทจาก 25 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ กลายเป็น 56 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ

ความพยายามในการพยุงค่าเงินบาท โดยใช้เงินสำรองเงินตราต่างประเทศจนหมด กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ต้องใช้เงินในการช่วยเหลือสถาบันการเงินหลายแห่ง สูงถึง 6 แสนล้านบาท ทำให้ต้องใช้เงินจนหมด และต้องกู้จาก ไอเอ็มเอฟ 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

หนี้สินที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ทำให้ธุรกิจของเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน 58 แห่ง ธุรกิจบ้านจัดสรร ฯลฯ ปิดตัวเป็นว่าเล่น พนักงานตกงาน ถูกปลดออกมากมายหลายหมื่นคน

วิกฤตต้มยำกุ้ง จึงเป็นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยสมัยใหม่

รองศาสตราจารย์ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ถอดบทเรียนจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ คือ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบไม่ประมาท

เมื่อได้รับพระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในปี 2541 แล้วไปศึกษาก็พบว่า ท่านรับสั่งเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม ปี 2517 คือ 50 ปีมาแล้ว โดยพระราชประสงค์ คือ ทรงเตือนให้พวกเรา ให้ความสนใจกับเกษตรกรรายย่อย ที่อยู่ต่างจังหวัดให้มาก

ให้ความตระหนักว่า ต้องให้การพัฒนาเกษตร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย กับการพัฒนาเมืองมีความสมดุลกันไม่ใช่ว่ามุ่งพัฒนาเมืองและอุตสาหกรรมที่ทันสมัยอย่างเดียว

ทรงเตือนเอาไว้ว่า ถ้ายึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะทำให้เราไม่เกิดปัญหาเหมือนอย่างที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งเนื่องจากตอนนั้นคนลำบากมากจริง ๆ ก็เลยหันมาให้ความสนใจหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่

“ตอนนั้นเมืองลำบาก เพราะเกิดวิฤตต้มยำกุ้ง คนจำนวนหนึ่งกลับไปภาคเกษตรที่เคยทิ้งเข้ามาอยู่ในเมือง เมื่อกลับไปอยู่บ้านแล้วก็ทำเกษตร ปรากฏว่า เทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่เจอปัญหาวิกฤตเหมือนกัน แต่เขากลับไปที่เกษตรไม่ได้ก็ทำให้เราฟื้นตัวได้เร็ว ทำให้เห็นถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนา ระหว่างภาคเกษตรและภาคเมืองได้เป็นอย่างดี”

ดร.จิรายุ กล่าวด้วยว่า จริง ๆ แล้วปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใช้ได้กับทุกภาค เพราะว่าเป็นปรัชญาที่มีหลักการ คือความรู้ คู่คุณธรรม ไม่โลภมากเกินไป เดินสายกลาง มีเหตุมีผล อันนี้ใช้ได้กับทุกคน แล้วใช้ได้กับทุกระดับด้วย ใช้ระดับบุคคลก็ได้ ชุมชนก็ได้ จังหวัดก็ได้ ภาคก็ได้ ประเทศก็ได้ ระหว่างประเทศก็ได้ ใช้หลักนี้ได้ทุกแห่งหมด เป็นหลักการที่ยึดเป็นหลักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้

“การนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ จนกระทั่งประสบความสำเร็จ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทั้งราชการ ผู้นำชุมชน ลูกบ้าน ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมช่วยเหลือสนับสนุน ถ้าได้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย โอกาสที่จะนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ ให้เกิดผลสำเร็จก็จะสูงมาก อย่างที่เราได้เห็นเป็นรูปธรรมอยู่ในขณะนี้”

หากอยากรอดไปให้ได้อีกครั้ง ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างดี แนะวิธีการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงว่า “เมื่อเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง มีข่าวคนฆ่าตัวตายจำนวนมาก เพราะชีวิตไม่มีที่ไป จากการที่ปรับตัวไม่ได้ หรือไม่ได้เตรียมตัวไว้

ในปีนั้น ท่านได้พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้พิจารณาดูว่า รัฐจะเอาวิธีคิด หลักคิด หลักปฏิบัติของปรัชญานี้ ไปใช้ดีมั้ย แล้วก็เผยแพร่ให้ประชาชนด้วย

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม กล่าวด้วยว่า ผ่านมาระยะหนึ่ง มีนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะด้านเศรษฐศาสตร์สนใจมาศึกษา “ผมยังจำได้มีแหม่มคนหนึ่ง เป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐ ศาสตร์ จากนิวเซาธ์เวล ประเทศออสเตรเลีย มาเมืองไทยเลย แล้วก็มาศึกษามาดูว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เอาไปใช้แล้วเกิดผลอย่างไรต่อชาวบ้านบ้าง ต่อนักธุรกิจบ้าง

แล้วแกก็ตอบตัวเองว่า อ๋อ นี่มันเป็นทฤษฎีการปรับตัว เพื่อจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อรับมือกับวิกฤต แกใช้ภาษาอังกฤษว่า theory of resilience แต่จริงๆ แล้ว ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใช้ได้ทุกระดับ รับสั่งเลยว่าใช้ได้ทุกระดับ ทั้งระดับส่วนตัว ระดับครอบครัว ระดับองค์กร บริษัท องค์กรเอกชน องค์กรรัฐ ใช้ได้หมด แม้แต่ประเทศ

ตอนหลังเมื่อต่างประเทศเขาสนใจ เอาไปใช้ด้วย ท่านก็รับสั่งว่า ดีสิ คนทั้งโลกจะได้มีความสุข ก็แสดงว่า ทรงเชื่อว่าปรัชญานี้เอาไปใช้แล้วจะสร้างความสุข และนำไปสู่ความยั่งยืน

“ปรัชญานี้ให้ใช้เพื่อสร้างความเข้มแข็ง และภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง กับครอบครัว กับบริษัท กับประเทศชาติ ทั้ง 4 ด้านคือ ภูมิคุ้มกันด้านวัตถุการเงิน การทอง ครอบครัวต้องทำบัญชีครัวเรือน รายรับรายจ่าย แล้วต้องรู้จักวิเคราะห์ รายรับจะเพิ่มมากขึ้นได้ไหม ถ้าเราขยันมากขึ้น

สำหรับรายจ่ายต้องแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.ต้องจ่าย ก็จ่าย 2. ต้องไม่จ่าย เช่น อบายมุขทั้งหลาย ต้องไม่จ่าย 3. ควรจ่ายถ้ามีเงินเหลือ ไม่เหลือก็อย่าจ่าย

ภูมิคุ้มกันด้านวัตถุ คือ การสอนให้ทุกคนฉลาดในการจัดการกับฐานะการเงินของตัวเอง รับรองได้ไม่มีหนี้ถ้าทำตามที่ท่านสอน

ต้องมีภูมิคุ้มกันด้านสังคม คือ ต้องเป็นคนดี เป็นครอบครัวคุณธรรม โรงเรียนคุณธรรม ประเทศคุณธรรม บริษัทคุณธรรม มีความรู้ และมีสุขภาพดี ต้องมีภูมิคุ้มกันด้านสิ่งแวดล้อม และภูมิคุ้มกันหรือวัคซีนด้านวัฒนธรรมด้วย

ภูมิคุ้มกัน 4 เรื่อง ทั้งวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม จะทำให้แต่ละคนเข้มแข็ง แต่ละครอบครัวเข้มแข็ง ทำให้องค์กรบริษัทเข้มแข็ง ทำให้ประเทศเข้มแข็ง สอนให้เราตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ใช้ทางสายกลาง

แล้วที่สำคัญ คือ ให้เรามีพร้อมทั้งเรื่องคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต มีพร้อมทั้งเรื่องความรู้ เทคโนโลยีใหม่ๆ ทักษะใหม่ๆแล้วก็มีความขยันหมั่นเพียรใช้สติปัญญา

“ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤตขึ้น คนที่ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สร้างความเข้มแข็งก่อนวิกฤต พอเจอวิกฤตถามว่าเสียหายมั้ย เสียหายแต่น้อยกว่า ฟื้นเร็วกว่า ครอบครัวหรือองค์กรที่ไม่ได้ใช้”

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ทุกคนทุกฝ่าย ต้องหาคำตอบให้กับตัวเอง เพื่อหาหนทางรอดในสถานการณ์วิกฤตินี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : นายกฯ มอบนโยบาย ตชด. ชื่นชมผลงาน ปิดทองหลังพระ พัฒนาหลายมิติ