

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ชี้ขายข้าว “จีทูจี” เกิดยาก เพราะมีผู้ส่งออกข้าวจำนวนมาก ที่ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อจากใครก็ได้ ไม่เหมือนอดีตที่มีผู้ซื้อน้อยราย
- ทำยาก ไม่คล่องตัว ใช้เวลานานกว่าจะส่งมอบ
- ผู้ซื้อหันซื้อจากเอกชนและให้เอกชนนำเข้าแทนรัฐ
- ปีนี้ตั้งเป้าส่งออกข้าว 7.5 ล้านตันเผย 5 ปัจจัยเสี่ยงรุมหนัก
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลไทยมีนโยบายขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซียว่า ปัจจุบัน จีทูจี ทำได้ยาก เพราะมีผู้ส่งออกข้าวจำนวนมาก ที่ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อจากใครก็ได้ ไม่เหมือนอดีตที่มีผู้ซื้อน้อยราย อีกทั้งรูปแบบการนำเข้าข้าวของแต่ละประเทศเปลี่ยนไป เช่น ฟิลิปปินส์ ที่เดิมซื้อแบบจีทูจี แต่หลายปีที่ผ่านมาเปลี่ยนให้เอกชนนำเข้าแทน ส่วนอินโดนีเซีย รัฐซื้อจากเอกชน (จีทูพี) เพราะคล่องตัวกว่า ส่งมอบรวดเร็ว
“จีทูจีใช้เวลาการดำเนินการนาน เพราะกว่าจะทำรายละเอียดของสัญญาเสร็จ เจรจาต่อรองราคา ระยะเวลาส่งมอบ ฯลฯ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 เดือน อีกทั้งยังขายในราคามิตรภาพ แต่ราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งมาก และยังต้องวางหลักประกันสัญญาอีก แต่จีทูพี คุยกันอาทิตย์เดียวก็ส่งมอบได้แล้ว คิดว่า จีทูจีไม่น่าเกิด”
ส่วนการขายจีทูจีให้กับจีน ในส่วนที่เหลืออีก 272,000 ตัน จากสัญญาซื้อขายทั้งหมด 1 ล้านตันนั้น ขณะนี้ ก็ยังซื้อขายไม่เสร็จ เพราะจีนระบุว่า ราคาข้าวไทยสูงกว่าราคาข้าวที่ขายภายในจีนมาก จึงไม่น่าจะนำเข้าได้ในเร็วๆ นี้

สำหรับการส่งออกข้าวไทยปี 67 สมาคม ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7.5 ล้านตัน มูลค่า 150,000 ล้านบาท ปริมาณลดลงกว่า 1 ล้านตันจากปีก่อนที่ 8.76 ล้านตัน และมูลค่า 178,000 ล้านบาท โดยมี 5 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องการให้รัฐดูแลและแก้ปัญหา ได้แก่ 1.ความผันผวนของค่าเงินบาท ทำให้ผู้ซื้อไม่มั่นใจราคาข้าวไทย จึงต้องการให้มีเสถียรภาพ 2.เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน เพราะข้าวไทยเป็นรองคู่แข่งทั้งผลผลิตต่อไร่ที่ได้เพียง 450 กิโลกรัม (กก.) ต่อไร่ แต่เวียดนามมากกว่า 900 กก.ต่อไร่ และยังขาดสายพันธุ์ใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาด
3.นโยบายแข่งขันด้านราคา ซึ่งข้าวไทยมีราคาสูง ต้นทุนการผลิต และการขนส่งสูงกว่าคู่แข่ง และหากการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงยังยืดเยื้อ ค่าระวางก็อาจปรับขึ้นได้อีกจากปัจจุบันปรับขึ้นแล้ว 4 เท่า 4.อินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง คาดว่า ราวครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวตลาดโลกลดลง และผู้ซื้อหันไปซื้อข้าวอินเดียแทน และ 5. ผลกระทบจากเอลนีโญ ที่จะทำให้ผลผลิตเข้าไทยลดลง
“ปีนี้ การส่งออกข้าวไทยมีโอกาส ที่จะถูกเวียดนามแซงหน้าได้อีก เพราะตัวเลขการส่งออกข้าว เวียดนาม เพิ่มขึ้นมาก จากปกติรส่งออกเฉลี่ย 6 ล้านตันต่อปี แต่ปี 66 ส่งออกได้ถึง 8.1 ล้านตัน อีกทั้งการเปิดประมูลนำเข้าข้าวล่าสุดของอินโดนีเซียที่ 500,000 ตัน เวียดนาม ชนะประมูลไปกว่า 4 00,000 ตัน ที่เหลือเป็นของปากีสถาน และเมียนมา ไทย ประมูลไม่ได้เลย เพราะราคาสูงกว่าคู่แข่งถึง 40 เหรียญสหรัฐฯ“

ด้านร้อยตำรวจโทเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ราคาข้าวเปลือกไทยในปีนี้ คาดจะลดลงจากปีก่อ ตามการส่งออก โดย ปี 66 ราคาข้าวเปลือกเจ้าขึ้นไปถึงตันละ 12,000 บาท ไม่เคยเห็นในรอบ 16 ปี แต่ปีนี้น่าจะลดลง เพราะคาดจะส่งออกได้ลดลง แต่เชื่อว่าไม่ต่ำกว่าตันละ 10,000 บาท ถือเป็นราคาที่ชาวนารับได้ เพราะต้นทุนการผลิตอยู่ที่ตันละ 4,000-5,000 บาท
”ราคาข้าวไทย ขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิต และการส่งออก ไตรมาสแรกปีนี้ ยังน่าจะดีอยู่ เพราะมียอดส่งออกเฉลี่ยกว่า 800,000 ตันต่อเดือน โดยเดือนม.ค.ขอใบอนุญาตส่งออก 1.1 ล้านตัน เพราะมียอดส่งมอบตกค้างมาจากปีก่อน แต่ไตรมาส 2 ไปแล้ว ไม่รู้จะเป็นอย่างไร เพราะไทยประมูลขายข้าวให้อินโดนีเซียไม่ได้เลย ที่สำคัญการประมูลไม่ได้ ทำให้ราคาข้าวไทยขณะนี้ลดลงด้วย ทั้งราคาในประเทศ และราคาส่งออก“