การบินไทยโชว์เงินสดในมือ 6.7 หมื่นล้าน พร้อมซื้อเครื่องบินเสริมแกร่ง

การบินไทยโชว์กระแสเงินสดในมือ 6.7 หมื่นล้านบาท พร้อมยื่นไฟลิ่งกลางปีนี้ หวังหลุดแผนฟื้นฟู

  • กลับซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปี 2568
  • ยันจัดหาเครื่องบินใหม่ไม่กระทบสภาพคล่อง

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2566 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 161,067 ล้านบาท เป็นรายได้จากกิจกรรมขนส่งผู้โดยสารที่เติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 79.3% เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว และความต้องการเดินทางของผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่กระแสเงินสดในมือ (แคชโฟว์) มีสะสมสูงกว่า 6.7 หมื่นล้านบาท ทำให้ขณะนี้บริษัทฯ มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งสามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนดที่ยื่นไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ โดยปัจจุบันการบินไทยสามารถจ่ายหนี้ในส่วนของหนี้บัตรโดยสารรวม 1.3 หมื่นล้านบาทใกล้แล้วเสร็จ เหลือประมาณ 300 – 400 ล้านบาท ที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 31 มี.ค.นี้ อีกทั้งในปีนี้จะเริ่มต้นชำระหนี้ครบกำหนด ส่วนของเจ้าหนี้หุ้นกู้ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งยืนยันว่ามีความพร้อมในการชำระ

“หนี้รวมที่เราต้องชำระมีทั้งหมด 1.2 แสนล้านบาท โดยมีกำหนดเริ่มชำระงวดแรกในปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท และต้องชำระให้ครบใน 12 งวด โดยจากการประเมินฐานะทางการเงินแล้ว มั่นใจว่าการบินไทยจะชำระหนี้ได้ตามแผน เพราะปัจจุบันเราก็สามารถเริ่มชำระได้ตามที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟู ส่วนการซื้อเครื่องบินก็ไม่กระทบต่อแผนฟื้นฟูแน่นอน”

อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มี EBITDA จากการดำเนินงานหลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าเครื่องบิน 42,875 ล้านบาท ดีกว่าประมาณการตามแผนฟื้นฟู ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขความสำเร็จของแผนฟื้นฟูที่กำหนดว่า EBITDA ต้องมี 2 หมื่นล้านบาท ในรอบ 12 เดือนก่อนหน้าที่จะรายงานถึงผลสำเร็จการฟื้นฟู ทำให้มั่นใจว่ากลางปีนี้การบินไทยจะสามารถยื่นไฟลิ่ง และดำเนินการออกหุ้นเพิ่มทุนให้จบในปีนี้ เพื่อกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในปี 2568

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวด้วยว่า การจัดหาฝูงบินใหม่จำนวน 45 ลำ ไม่กระทบต่อการดำเนินงานและการจ่ายหนี้ของการบินไทย อีกทั้งหากดูจากฐานะการเงินของบริษัทฯ แล้ว เครื่องบิน 45 ลำ สามารถซื้อเงินสดได้ เพราะว่าการจัดหาเครื่องบินไม่ได้จ่ายทันที และเครื่องบินส่วนนี้จะทยอยเข้ามาเริ่มปี 2570 – 2573 นอกจากนี้การจัดหาเครื่องบินด้วยวิธีซื้อเงินสด ก็ไม่แปลกเพราะสายการบินตะวันออกกลางก็ซื้อด้วยเงินสด แต่อย่างไรก็ดี คงต้องรอศึกษารูปแบบการจัดหาอย่างเหมาะสมก่อน ซึ่งระหว่างนี้ยังมีเวลา คาดว่าจะได้ความชัดเจนในรูปแบบและแนวทางของการจัดหาเครื่องบินในปี 2568

“การจัดหาเครื่องบินเราไม่ได้ใช้เงินภาษีประชาชน และที่ผ่านมาในช่วงโควิดการบินไทยไม่เคยได้รับเงินจากรัฐบาบสักบาทเดียว ครั้งสุดท้ายที่ได้เงินสนับสนุนตากรัฐบาลคือเมื่อ 13 ปีที่แล้ว จำนวน 7.5 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับสายการบินอื่นๆ ทั่วโลก ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล สายการบินญี่ปุ่นรัฐช่วยเหลือ 2 แสนล้านทำให้ฟื้นได้ แต่การบินไทยเราฟื้นด้วยตัวเอง มาจากความร่วมมือร่วมใจของพนักงาน”

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การบินไทย กล่าวว่า การจัดหาเครื่องบินใหม่ยืนยันว่าโปร่งใส ไม่ได้ใช้เงินภาษีประชาชน รัฐไม่มีภาระ และไม่ต้องค้ำประกัน ดังนั้นการบินไทยอยากยืนยันกับประชาชนว่า การจัดหาเครื่องบินไม่สร้างผลกระทบต่อประชาชน และเป็นความต้องการของบริษัทบนพื้นฐานธุรกิจโดยแท้ อีกทั้งการบินไทยยังศึกษาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การจัดหาเครื่องบินครั้งนี้เป็นกระบวนการคัดเลือกและเจรจาที่ดีที่สุด

สำหรับการจัดหาเครื่องบินครั้งนี้ เป็นการจองสล็อตในการผลิต โดยยังไม่ได้สรุปถึงแนวทางของการชำระว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยยังไม่ได้เลือกวิธีของการจัดหาว่าใช้รูปแบบเช่า, เช่าเพื่อดำเนินการ หรือซื้อด้วยเงินสด ดังนั้นยังมีเวลาที่การบินไทยจะสามารถศึกษา ประเมิน และบริหารสภาพคล่อง แต่ยอมรับว่าวิธีการง่ายที่สุด คือการซื้อด้วยเงินสด

ส่วนที่มาของการเลือกทำข้อตกลงจัดหาเครื่องบินในตระกูลโบอิ้ง 787 เพราะปัจจุบันการบินไทยมีอากาศยานรุ่นนี้ให้บริการอยู่ในฝูงบินแล้ว อีกทั้งตลาดทั่วโลก ปัจจุบันยังนิยมใช้อากาศยานรุ่นโบอิ้ง 787 และแอร์บัส A350 ซึ่งขณะนี้การบินไทยก็มีแอร์บัส A350 ให้บริการและกำลังจะรับมอบเพิ่ม รวมประจำฝูงบินในปีนี้ 23 ลำ ดังนั้นมองว่าการจัดหาโบอิ้ง 787 มีความเหมาะสม ตลาดทั่วโลกนิยม และยังมีความคุ้มค่า เมื่อคำนวณต้นทุนรวมทั้งค่าบำรุง และอัตราการใช้น้ำมัน

สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปีนี้ จากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลก ทำให้การบินไทยมั่นในว่าสิ้นปีนี้แคชโฟว์จะสะสมมากกว่า 6.7 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันปริมาณผู้โดยสารในปีนี้ คาดว่าจะมีสูงถึง 15 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี13 ล้านคน โดยการบินไทยยังคงเดินหน้าเพิ่มความถี่เส้นทางยอดนิยม อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซิดนีย์ และเปิดเส้นทางบินใหม่ในเส้นทางศักยภาพสูง อาทิ ออสโล มิลาน เพิร์ท และโคจิ

ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2566 เปรียบเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวม 238,991 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% มีหนี้สินรวม 282,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ติดลบจำนวน 43,142 ล้านบาท ติดลบลดลง 27,882 ล้านบาท และจากผลประกอบการที่เป็นบวก บริษัทฯ มีเงินสด รวมตั๋วเงินฝาก เงินฝากประจำ และหุ้นกู้ ที่มีระยะเวลาครบกำหนดชำระมากกว่า 3 เดือนแต่ไม่เกิน 12 เดือน จำนวน 67,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32,590 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีปริมาณการผลิต (ASK) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 40.9% และมีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้นถึง 65.4% มีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 79.7% สูงกว่าปี 2565 ที่เฉลี่ยเท่ากับ 67.9% มีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 13.76 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 52.7% มีปริมาณการผลิตด้านการขนส่งสินค้า (ADTK) สูงกว่าปีก่อน 40.9% ปริมาณการขนส่งสินค้า (RFTK) สูงกว่าปีก่อน 15.4% อัตราส่วนการขนส่งสินค้า (Freight Load Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 51.7%