ดัชนีดาวโจนส์พุ่งกว่า 360 จุด นักลงทุนซื้อหุ้นสะสม หลังผลประกอบการ บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) เผยผลประกอบการดีกว่าคาด ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจ ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
- มีแรงซื้อกลับเข้่ามาในตลาดหุ้นสหรัฐฯต่อเนื่อง หลัง บริษัทอินวิเดีย (Nvidia)
- เผยผลประกอบการแข็งแกร่ง ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 12,000 ราย ต่ำสุดรอบ 5 สัปดาห์
- นักลงทุนติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หาทิศทางดอกเบี้ย
เมื่อเวลาประมาณ 22.05 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 38,975.80 จุดเพิ่มขึ้น 363.56 จุด หรือ 0.94% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ 5,061.28 จุด เพิ่มขึ้น 79.48 จุด หรือ1.60% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส อยู่ที่ 15,944.47 จุด เพิ่มขึ้น 363.60 จุด หรือ 2.33%
บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ราคาหุ้นอินวิเดียพุ่งขึ้นกว่า 12% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้พุ่งขึ้น 265% ในไตรมาส 4 ของปีงบการเงิน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้จะดีดตัวขึ้นต่อไปในไตรมาสปัจจุบัน โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสความนิยมในชิปที่ใช้กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวไร้ทิศทาง หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ประจำวันที่ 30-31 ม.ค.โดยกรรมการเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งไม่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกต่อไป
นักลงทุนยังคงจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ
ด้านตลาดแรงงานสหรัฐ ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 12,000 ราย สู่ระดับ 201,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 217,000 ราย
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลง 3,500 ราย สู่ระดับ 215,250 ราย
ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 27,000 ราย สู่ระดับ 1.86 ล้านราย ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.88 ล้านราย
