จับตา!ค่าเงินบาท-ตลาดหุ้นไทย -สัญญาณเงินทุนต่างชาติ

หุ้นไทย
ดัชนีตลาดหุ้นไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินค่าเงินบาทช่วงวันที่ 8-12 ม.ค. 67 เคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 34.20-34.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ  

  • หุ้นไทยแนวรับ 1,400 จุด แนวต้าน 1,455 จุด
  • เกาะติด ทิศทางเงินทุนต่างชาติ
  • ดัชนีราคาผู้บริโภคและผู้ผลิตเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ-จีน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินสถานการณ์ค่าเงินบาท ระหว่าง ระหว่างวันที่ 8-12 ม.ค. 2567 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 34.20-34.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ และจีน ตลอดจนผลการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้

ส่วนดัชนีหุ้น คาดแนวรับที่ 1,415 และ 1,400 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,440 และ 1,455 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ การทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 4/66 ของบจ. ไทย ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ และจีน ตลอดจนยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. ของยูโรโซน

สำหรับระหว่างวันที่ 2-5 ม.ค. 67 ที่ผ่านมา ​ เงินบาทพลิกกลับมาแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ที่ 34.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ ทั้งนี้เงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ กลับมาทยอยฟื้นตัวขึ้น จากที่เผชิญแรงเทขายมากในสัปดาห์ทำการสุดท้ายของปี 2566 ประกอบกับมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังได้รับแรงหนุน หลังบันทึกการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 12-13 ธ.ค. 2566 และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด สะท้อนว่าสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้เฟดมั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจนกลับมาสู่ระดับเป้าหมาย

ส่วนดัชนีหุ้นไทยยังยืนเหนือ 1,400 จุดได้ในสัปดาห์แรกของปี 2567 ทั้งนี้หุ้นไทยดีดตัวขึ้นแรงในวันทำการแรกของปีขานรับปัจจัยบวกจากมาตรการฟรีวีซ่าไทย-จีนเป็นการถาวร ซึ่งกระตุ้นแรงซื้อหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะหุ้นผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยาน อย่างไรก็ดีดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงที่เหลือของสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังตอบรับปัจจัยบวกไปพอสมควร ประกอบกับบันทึกการประชุมเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า จะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยเมื่อใด อนึ่งหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลง โดยได้รับผลกระทบจากการปรับลดน้ำหนักการลงทุนของหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่แห่งหนึ่งของสหรัฐฯ