ดาวโจนส์ปิดร่วง 396 จุด นักลงทุนขายหุ้น ทำกำไรลดความเสี่ยงหลังกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะชะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาดไว้ในเดือนมิ.ย.หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวดีต่อเนื่อง
- นักลงทุนกังวลตัวเลขเศรษฐกิจ-การเปิดรับสมัครงานสูงกว่าคาด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน
- มีแรงเทขายหุ้น หวั่นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงดอกเบี้ยสูงยังไม่ลดเดือน มิ.ย.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 2 เม.ย.ที่ 39,170.24 จุด ลดลง 396.61 จุด หรือ -1.00%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,205.81 จุด ลดลง 37.96 จุด หรือ -0.72% ส่วนดัชนี แนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 16,240.45 จุด ลดลง 156.38 จุด หรือ -0.95%
ทั้งนี้ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงานที่เฟดให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.756 ล้านตำแหน่งในเดือนก.พ. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 8.740 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 8.748 ล้านตำแหน่งในเดือนม.ค.
การพุ่งขึ้นของตัวเลข JOLTS ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 4.405% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2566 และทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดโดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 56.3% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนัก 63.8% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่าแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.8% ในไตรมาส 1/2567
รัสเซลล์ ไพร์ซ นักวิเคราะห์จากบริษัท Ameriprise Financial ในรัฐมิชิแกนกล่าวว่า “ตลาดกำลังเผชิญภาวะ ‘มีข่าวดีในข่าวร้าย’ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่งซึ่งถือเป็นข่าวดี แต่ข้อมูลดังกล่าวทำให้ตลาดกังวลว่าอาจจะทำให้เฟดชะลอเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และยังส่งผลให้ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้”
ดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ร่วงลง 1.62% และ 1.28% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสาธารณูปโภค ปรับตัวขึ้น 1.37% และ 0.17% ตามลำดับ
หุ้นเทสลา ร่วงลง 4.9% และเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาด หลังจากเทสลาเปิดเผยว่า ตัวเลขการผลิตรถยนต์ในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ระดับ 433,371 คัน ลดลง 1.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี และการส่งมอบรถยนต์อยู่ที่ระดับ 386,810 คัน ลดลง 8.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2563
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมี.ค.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 205,000 ตำแหน่ง ซึ่งชะลอตัวลงหลังจากที่เพิ่มขึ้น 275,000 ตำแหน่งในเดือน ก.พ. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.9% ในเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ เพื่อดูทิศทางเศรษฐกิจและดอกเบี้ยเพิ่มเติม