

“คลัง”เผยเงินกองทุนประกันสังคมลดหลังเกิดวิกฤติโควิด-19 ต้องประเมินความเสี่ยงต่อเนื่องและใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดความเสี่ยงทางการคลัง รายได้และหนี้สาธารณะ
- ลดเงินนำส่งกองทุน
- ลดเงินนำส่งสมทบของนายจ้างด้วย
- เพื่อแบ่งเบาภาระสมาชิก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ประเมินความเสี่ยงทางการคลังของกองทุนประกันสังคม ณ สิ้นปี2565 พบว่า กองทุนประกันสังคม มีเงินรวมอยู่ที่ 2.361 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 17,000-18,000 ล้านบาท จากที่มีเงินกองทุนฯ อยู่ที่ 2.379 ล้านล้านบาท ถือว่าลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ปี เนื่องจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของเงินลงทุนกองทุนประกันสังคมลดลงตามดัชนีหุ้นไทย ประกอบกับรายได้จากเงินสมทบลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 จากมาตรการการลดอัตราการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของนายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 ขณะที่รายจ่ายเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีป่วย ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 รวมถึงปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ยังเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของกองทุนในระยะยาว ซึ่งกระทรวงการคลัง ต้องประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดความเสี่ยงทางการคลัง รายได้ และหนี้สาธารณะ
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับกองทุนฯในอนาคต ปัจจุบันกระทรวงแรงงานอยู่ระหว่าง พิจารณาเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุน ประกันสังคม ซึ่งมีสาระสำคัญในการปรับฐานค่าจ้างขั้นสูงจาก 15,000 บาท อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการปรับเพื่อฐานค่าจ้างในการคำนวณเงินนำส่งประกันสังคมของลูกจ้างและนายจ้างให้สูงกว่าปัจจุบัน จะทำให้การจ่ายเงินนำส่งกองทุนของลูกจ้างและนายจ้างสูงขึ้น ทำให้กองทุนมีเงินไหลเข้ามากขึ้น และรัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณในส่วนที่รัฐบาลยังค้างจ่ายเงินสมทบให้แก่กองทุนประกันสังคม จำนวน 70,300 ล้านบาทด้วย

สำหรับการปรับลดอัตราการจ่ายเงินสมทบของ นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 เหลือ 1 %ของค่าจ้างผู้ประกันตน จากปกติอยู่ที่ 5 %ของค่าจ้างที่ไม่เกิน 15,000บาทต่อเดือน ในช่วงเดือนพ.ค-ก.ค.2565 และอัตรา 3% ในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค.2565 ส่วนผู้ประกันตนตามมาตรา 39 สำหรับแรงงานที่ลาออกจากสมาชิกตามมาตรา 33 แล้วสมัครเข้าเป็นสมาชิกมาตรา 39 เพื่อรักษาสิทธิการรักษาพยาบาลจากกองทุนประกันสังคม ลดการจัดเก็บเหลือเดือนละ 91 บาท จากเดิม 432 บาทต่อเดือน ในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ค.2565 และจัดเก็บในอัตราเดือนละ 240 บาท ในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค.2565