ว่าด้วยความพยายามในการแก้ไข “รัฐธรรมนูญ” ภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.) ร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อย โดยยังคงให้ยึดเสียงข้างมาก 2 ชั้น ตามที่วุฒิสภาแก้ไข
กล่าวคือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และ2.ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์ ซึ่งกติกานี้ไม่ตรงกับที่สภาผู้แทนราษฎรต้องการให้ใช้เพียงแค่เสียงข้างมากปกติ
แก้รธน.สะดุด ติดล็อค180วัน
ฉะนั้น ในวันที่ 18 ธ.ค.สภาฯ จะพิจารณาข้อสรุปของกมธ.ร่วมกัน ซึ่งแนวโน้มค่อนข้างเป็นไปได้สูงว่า สภาฯจะไม่เห็นชอบข้อสรุปดังกล่าว
หากเป็นเช่นนี้ ตามรัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ว่าจะต้องเว้นว่างร่างพ.ร.บ.ประชามติ ไป 180 วัน หรือ 6เดือน จากนั้นสภาฯจึงจะสามารถยืนยันในหลักเกณฑ์เสียงข้างมากปกติ ตามที่ตนเองเสนอได้
ถ้าทุกอย่างดำเนินไปตามการประเมินข้างต้น จะส่งผลต่อการมี “รัฐธรรมนูญ” ฉบับใหม่ ดังนั้น จึงได้เห็น “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาเสนอทางออก
โดยพยายามทำให้ร่างพ.ร.บ.นี้เป็นกฎหมายการเงิน เพื่อเลี่ยงเงื่อนเวลา 180 วัน แต่ยังไม่ทันไร เจอ “นิกร จำนง” ดับฝัน ยืนยันเสียงแข็ง ว่า จริงๆ แล้วมันไม่เป็น พ.ร.บ.การเงิน และตอนที่เราทำกฎหมายนี้ เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องใช้เงิน จำนวน 3 พันกว่าล้านบาท ซึ่งถือว่ารู้อยู่ก่อนแล้ว แล้วมาแก้ว่าจะเอาสัดส่วนเกณฑ์ออกเสียงประชามติ 2 ชั้นหรือ 1 ชั้น เท่านั้นเอง และถ้าเป็น พ.ร.บ.การเงิน ก็เป็นตั้งแต่ปี 64 แล้ว ไม่ใช่มาเป็น พ.ร.บ.การเงินตอนนี้ เพราะเราแก้เพียงบางมาตรา และเสร็จสิ้นชั้นสภาไปแล้ว
เล่นเอา “อ.ชูศักดิ์” เสียรางวัดฝ่ายกฎหมายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยไปเลย!!
ข้อมูลใหม่ทำประชามติแค่ 2 ครั้งพอ
ล่าสุด “พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน(ปชน.) มามุขใหม่ อ้างว่า “เรามีข้อมูลเพิ่มเติม 2 อย่าง ที่ได้พูดคุยกับประธานสภาและทีม คือ 1.หากดูตามความเห็นส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง 9 คน ประกอบคำวินิจฉัย ที่ 4/2564 นั้น จะเห็นว่าเสียงส่วนใหญ่ของตุลาการเขียนไว้ค่อนข้างชัดเจน ว่าการทำประชามติ 2 ครั้งนั้นเพียงพอแล้ว และ 2.คือข้อมูลที่มาจากการประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการกับประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
โดยเมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา “พริษฐ์” หลังจากที่ได้หารือกับประธานสภา เขาจะนำเรื่องทั้หงมดไปหารือกับ สส.พรรคประชาชน เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการประสานงานมีโอกาสในการวินิจฉัยอีกครั้งว่า ตกลงแล้วจำเป็นจะต้องมี การทำประชามติเพิ่มขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 หรือสามารถทำ 2 ครั้งเพียงพอ อีกทั้งมั่นใจว่าการทำประชามติเพียง 2 ครั้ง จะทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้ามีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้เรียบร้อย
สองสภาต้องร่วมมือกัน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนหนทางที่ “พริษฐ์” คิดไว้จะเต็มไปด้วยขวากหนาม เพราะลำพังเสียงของพรรคประชาชนเพียงพรรคเดียวไม่พอในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว เพราะจะต้องอาศัยมือของอีกหลายพรรค รวมถึงสว.อีกด้วย
งานนี้ “นิกร” เจ้าเก่า รุ่นเก๋าในสภาอ่านเกม ชี้ว่าภารกิจการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนใหม่ขึ้นให้สำเร็จ จำเป็นต้องรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เกิดการประนีประนอมร่วมกัน เพราะถ้าทำขั้นตอนใดผิดพลาดล้มเหลว แทนที่จะเร็วขึ้นกลับจะกลายเป็นช้าลงไปอีกมาก เหมือนที่เป็นมาให้เห็นๆกันจนจะไม่ทันการอยู่แล้วแม้จะมีการลดธงเป้าหมายให้เหลือเพียงแค่ให้ได้แค่สสร.ก็ตามที
หาก สภาฯยืนยันในหลักการเดิมให้ยึดเกณฑ์เสียงข้างมากปกติ และทุกฝ่ายยังเห็นว่าประชามติต้องทำ 3 ครั้ง ก็ชี้ชัดได้เลยว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ ต้องใช้กติกาตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน แน่นอนว่า “พรรคประชาชน” มีโอกาสถูกโดดเดี่ยวซ้ำสองยกเว้นพรรคประชาชนจะชนะขาด โดยครองเสียงในสภาฯ 350 เสียงขึ้นไป.
เรื่องโดย : เอสเปรสโซ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องประเด็น “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย”