พันธุ์ไทย ผนึก สิงห์ปาร์ค เชียงราย บุกตลาดชาหมื่นล้าน

พันธุ์ไทย ผนึก สิงห์ปาร์ค เชียงราย บุกตลาดชาหมื่นล้านผ่านแคมเปญ “ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน” ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท ดันยอดขายทะลุเป้า 20%

  • สานต่อความมุ่งมั่นในการสนับสนุนชุมชน
  • สร้างอาชีพให้เกษตรกร
  • ควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อมและรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

นายอนันต์ รัตนมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า “ตลาดชามีการขยายตัวขึ้นทุกปี ทั้งจากเทรนด์รักสุขภาพและกระแสความนิยมของผู้บริโภค พันธุ์ไทยมองเห็นโอกาสหลังจากประสบความสำเร็จกับแคมเปญ ‘อร่อย เวรี มัทฉะ’  ที่พันธุ์ไทยพัฒนาสูตรชาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชาตัวจริงอย่าง สิงห์ปาร์ค นำสุดยอดชา มารุเซ็น มัทฉะ พรีเมียม จ.เชียงราย มาพัฒนาเมนูมัทฉะตามแบบฉบับของพันธุ์ไทย ซึ่งได้รับความนิยมจนมีกระแสเรียกร้องให้นำมาบรรจุเป็นเมนูถาวร เราจึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สู่การเปิดตัว ‘ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน’ ชาดำสายพันธุ์อัสสัมที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นจาก จ.น่าน มีกลิ่นหอมชาคั่วและมีรสชาติเข้มข้นที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การดื่มด่ำชาพรีเมียมในราคาเข้าถึงง่าย ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟแล้ว ยังสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้บริการร้านพันธุ์ไทยให้เปิดใจทดลองอีกด้วย

น.ส.พรประภา ชัยโตษะ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เปิดเผยว่า  “ชาน่าน หรือ ชาแห่งสายหมอก ชาคุณภาพที่ปลูกในภูมิประเทศที่มีเทือกเขาวางตัวในแนวเหนือใต้ มีสภาพภูมิอากาศเย็นชื้น และมีฝนตกสม่ำเสมอ ดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ชาอัสสัมมีคุณลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร คงความเป็นเอกลักษณ์ของกลิ่นและรสชาติของอารยธรรมแห่งชาป่าสืบเนื่องมานานกว่า 100 ปี ชาน่านได้รับการปลูกและดูแลโดยเกษตรกรไทย พิถีพิถันเก็บเพียง 5 ใบแรกของยอดชา เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ส่งตรงถึงโรงงานแปรรูปชาอัสสัมแห่งแรกและแห่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดใน จ.น่าน เพื่อรักษาคุณภาพคงความสดใหม่ของใบชาให้มากที่สุด พร้อมเข้าสู่กระบวนการผลิตและแปรรูปที่ทันสมัย ก่อนจะนำมาเบลนด์เป็นสูตรเฉพาะของพันธุ์ไทย และครีเอทเมนูใหม่พร้อมเสิร์ฟความหอมอร่อยถึงมือลูกค้า”

“ความร่วมมือกับพันธุ์ไทยนี้เป็นการดึงจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์ที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยที่ชัดเจน มาต่อยอด เพิ่มคุณค่าและส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในหลากหลายมิติ นับเป็นการดำเนินงานที่ผสานกันอย่างลงตัว ด้วยอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ชุมชนด้วยการส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่น สร้างอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรไทย ไปพร้อมๆ กับการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดโครงการส่งเสริมการปลูกชาของชุมชนในพื้นที่ จ.น่าน โดยการให้องค์ความรู้ด้านการเพาะปลูกชาให้ได้คุณภาพ ส่งผลให้การบุกรุก ตัดไม้ทำลายป่า และการทำไร่เลื่อนลอยมีปริมาณลดลง เนื่องจากการปลูกชาอัสสัมต้องอาศัยร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ผืนป่า รักษาธรรมชาติ ทำให้ระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อย่างยั่งยืน”  

สำหรับชา” เป็นตลาดที่เติบโตและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากรายงานของ Spherical Insights บริษัทวิจัยด้านการตลาดชื่อดัง เปิดเผยว่า “ตลาดชา” ทั่วโลกในปี 2566 มีมูลค่า 49.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดการณ์ว่าตั้งแต่ปี 2566 – 2576 ตลาดชาทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 7.09% ต่อปี ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 98.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2576 ซึ่งในด้านการบริโภคนั้น สถาบันชาและกาแฟ แห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มีการประเมินว่าภายในปี 2568 วัฒนธรรมการดื่มชานอกบ้านจะสูงขึ้น 5% และจะมีปริมาณชาเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 พันล้านกิโลกรัมในปีเดียวกัน ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการบริโภคและมีมูลค่าตลาดสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยในปี 2565 มีมูลค่าตลาดสูงถึง 13,299 ล้านบาท