ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวหลังจากถูกเทขายอย่างหนัก จนเป็นวิกฤต Black Monday เมื่อวันจันทร๋ที่ 5 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ล่าสุด วันอังคาร ที่ 6 ก.ค. ณ เวลา 10.18 น. ดัชนีนิกเกอิยืนอยู่ที่ 34,664 จุด เพิ่มขึ้น 3,576 จุด หรือ 11.52%
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การแข็งค่าของค่าเงินเยนส่งผลให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงลงอย่างหนักในวันจันทร์ ทำให้เกิดการรีบประเมินแนวโน้มกำไรที่ลดลง หลังจากที่ตลาดหุ้นโตเกียวที่ผันผวนมาเป็นเวลาหลายเดือนต้องยุติลง
ในช่วงสามวันทำการ ดัชนีนิกเกอิ ลดลงมากถึงหนึ่งในห้า โดยวันจันทร์ที่ผ่านมาหุ้นร่วงลง 12.4% ซึ่งเป็นการร่วงลงครั้งใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ และครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ Black Monday ในเดือนตุลาคม 1987
การเทขายส่วนหนึ่งเกิดจากการแข็งค่าของค่าเงินเยน หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ค่าเงินเย็นแข็งตัวทันที
นักลงทุนต้องประเมินโอกาสของบริษัทในญี่ปุ่นโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากค่าเงินเยน ซึ่งช่วยผู้ส่งออกรายใหญ่หลายรายจนถึงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเคยโดดเด่นในระดับโลก โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 30% เมื่อปีที่แล้วและแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อเดือนที่แล้ว
Amir Anvarzadeh จาก Asymmetric Advisors กล่าว ผลประโยชน์จากตลาดเงินตราต่างประเทศที่หนุนหุ้นนิกเกอิ 225 และผู้ส่งออกหายไปหมด ตอนนี้บริษัทต่างๆ ต้องทำผลงานให้ดีด้วยตัวเอง
ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ต้นทุนของธุรกิจขนาดเล็กและครัวเรือนสูงขึ้น แต่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น โตโยต้า มอเตอร์ เนื่องจากทำให้สินค้าของพวกเขามีราคาถูกลงในต่างประเทศ และเพิ่มผลกำไรเมื่อนำรายได้จากต่างประเทศกลับมายังประเทศ
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เงินเยนเคลื่อนไหวที่ระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 7 เดือนที่ 142 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าขึ้นราว 14% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ขาดทุนมาหลายเดือน
โตโยต้าระบุทุกๆ 1 เยน มีผลกำไรส่วนต่างมหาศาล
การเปลี่ยนแปลงค่าเงินเยนอาจส่งผลกระทบต่อยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เช่น โตโยต้า ซึ่งระบุว่า การเปลี่ยนแปลงค่าเงินเยนทุก 1 เยนต่อดอลลาร์ จะทำให้กำไรส่วนต่างเพิ่มขึ้น 50,000 ล้านเยน (350 ล้านดอลลาร์)
ในการประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของโตโยต้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สกุลเงินมีส่วนทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 370,000 ล้านเยน
การขายหุ้นได้ลามไปนอกเหนือผู้ส่งออก โดยธนาคารและอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตลาดญี่ปุ่นที่เพิ่งฟื้นตัวจากภาวะเงินฝืด
นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้ว่าพื้นฐานของบริษัทญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่ง แต่การเทขายหุ้นเตือนว่าตลาดอาจไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเสมอไปในระยะสั้น
ผู้ส่งออกหลายรายคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนจะอยู่ที่ 140-145 เยนต่อดอลลาร์ นักลงทุนจึงคาดว่ากำไรจะดีขึ้นในอนาคต เคอิ โอคามูระ ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอที่ Neuberger Berman กล่าว
นักวิเคราะห์ชี้เป็นโอกาสลงทุนในหุ้นทีได้รับประโยชน์
“นักลงทุนระดับโลกจำนวนมากกำลังมองหาบริษัทญี่ปุ่นที่จะประกาศการปรับขึ้นราคา” เขากล่าว
หุ้นของผู้ส่งออกยังได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หนึ่งในตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมรถยนต์
ทาคาโตชิ อิโตชิมะ นักกลยุทธ์จาก Pictet Asset Management Japan กล่าวว่า “หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว รถยนต์ก็จะไม่ขายออก ผู้ผลิตรถยนต์ยังเป็นส่วนสำคัญของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งจะเพิ่มความเจ็บปวดให้กับตลาดโดยรวม
แบรนด์ซูบารุ ซึ่งรายงานว่ารายได้เกือบ 80% มาจากอเมริกาเหนือในไตรมาสแรก กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ยังคงคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนทั้งปีอยู่ที่ 142 เยน
นายคัตสึยูกิ มิซูมะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นทุก 1 เยนของอัตราแลกเปลี่ยนจะส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานเปลี่ยนแปลงไป 10,000 ล้านเยน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บริษัทผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ เอปสัน กล่าวว่าจะปรับสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 151 เยนต่อดอลลาร์ จาก 144 เยนก่อนหน้านี้ และเพิ่มการคาดการณ์ผลกำไร
ความปั่นป่วนของตลาดอาจเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่มองข้ามกลุ่มแชมป์ส่งออกของญี่ปุ่น การที่เงินเยนอ่อนค่าลงเป็นเวลานานอาจช่วยบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับสูงขึ้น และเกิดความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายในญี่ปุ่น
ดัชนีดาวน์โจนส์ทรุด
บันทึกวันที่เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบสองปี เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กระตุ้นให้เกิดการเทขายในตลาดโลก ดาวโจนส์ลดลง 1,033.99 จุด หรือ 2.6% ปิดที่ 38,703.27 จุดNasdaq Compositeลดลง 3.43% ปิดที่ 16,200.08 ขณะที่S&P 500ร่วงลง 3% ปิดที่ 5,186.33 จุด ดัชนี Dow และ S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีชั้นนำมีการสูญเสียรายวันมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่ Black Monday ของวอลล์สตรีทในปี 1987 ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าตลาดจะเกิดความวุ่นวายทั่วโลก
ความหวาดกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เป็นสาเหตุหลักของการล่มสลายของตลาดโลก หลังจากรายงานการจ้างงานในเดือนกรกฎาคมที่น่าผิดหวัง เมื่อวันศุกร์ นักลงทุนยังกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ล่าช้าในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางกลับเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบสองทศวรรษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เรียกร้องเฟดลดดอกเบี้ยฉุกเฉนิ 0.75% อัดฉีดตลาดหุ้น
เจเรมี ซีเกล ศาสตราจารย์จาก Wharton School ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.75% ในการประชุมเดือนกันยายน หลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำกว่าคาดการณ์ และอัตราว่างงานพุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
“นี่เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยที่สุดที่เฟดควรกระทำ โดยอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นขณะนี้ควรอยู่ระหว่าง 3.5-4.00%”
เขาเชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินของเฟดจะช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นให้ดีดตัวขึ้น เช่นเดียวกับที่นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานเฟด ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.50% ในช่วงต้นปี 2001 หลังจากไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม 2000 ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมาก
เฟด ลั่นพร้อมรับมือหากเศรษฐกิจย่ำแย่
ออสแตน กูลสบี้ ประธานธนาคารกลางเฟดสาขาชิคาโก ในรายการ Squawk Box ของ CNBC ว่า หากเศรษฐกิจมีสัญญาณย่ำแย่ลง ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ โดยระบุว่า เฟดมีเครื่องมือและความสามารถในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง แต่ในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เขายังกล่าวเสริมว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยจะปรับอัตราดอกเบี้ยตามความเหมาะสม เขาชี้ว่า ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง แต่เฟดจะยังคงเฝ้าระวังสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจและยืนยันว่า เฟดมุ่งมั่นที่จะรักษาเสถียรภาพทางการเงินและควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมาย 2%
https://www.cnbc.com/2024/08/04/stock-market-today-live-updates.html
https://finance.yahoo.com/news/wharton-siegel-calls-aggressive-cuts-122944254.html
https://thejournalistclub.com/pichai-stockmarket/