“ธนวรรธน์” ชี้ “ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ” ต้องเป็นอิสระจากการเมือง

ธนวรรธน์


“ธนวรรธน์” ชี้ข้อห่วงใย อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย-นักวิชาการ มอง “ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ” ต้องเป็นอิสระจากการเมือง

นาย ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึง กรณีที่อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนักวิชาการกลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ได้แสดงความเป็นห่วงการถูกครอบงำ และ การเมืองเข้ามาแทรกแซงการคัดเลือกประธานกรรมการ ธปท. ว่า

เรื่องนี้ เป็นการแสดงออกทางความคิดเห็นที่สามารถทำได้ เพราะอาจจะเกรงว่า หากรัฐบาลใช้กลไกทางการเมืองเข้ามาเป็นแรงกดดัน จะส่งผลทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของ ธปท. ไม่มีความเป็นอิสระอย่างเต็มที่

ดังนั้น กระบวนการในการสรรหาบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าว จึงต้องมีความเป็นอิสระ แต่จะต้องไปดูว่าเป็นอิสระในรูปแบบไหน ถ้าความอิสระมาจากทางการเมือง ก็ต้องไปดูว่า บุคคลที่จะเข้ามาในส่วนนี้ ไม่มีเงื่อนไขผิดคุณสมบัติกระบวนการสรรหา ก็น่าจะสอดคล้องและเหมาะสม แต่ถ้าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข ก็มีโอกาสสูงที่บุคคลที่มาจากทางการเมือง จะถูกทำให้เป็น “โมฆะ” ได้

ขณะเดียวกัน บุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งใน ธปท. จะต้องสวมหมวกในการทำหน้าที่เพื่อหน่วยงาน ดังนั้นส่วนตัวมองว่า เรื่องการสรรหาในส่วนนี้ จะยังมีกลไกทางสังคมหลายอย่างที่สามารถตรวจสอบได้

ส่วนข้อห่วงใยของอดีตผู้ว่าฯ ธปท. และนักเศรษฐศาสตร์ ถือเป็นข้อห่วงใยที่สำคัญ เพราะต่างก็มองว่าเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ และกระบวนการทำงานของ ธปท. ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นานาชาติ ยอมรับบทบาทของการเป็นธนาคารกลาง

ดังนั้น จึงมองว่าการส่งหนังสือดังกล่าว จึงเป็นการส่งสัญญาณ ที่จะแสดงให้รัฐบาลต้องพึงระวังในเรื่องนี้ โดยกระบวนการสรรหา คนที่จะสามารถเข้ามาทำงานตรงส่วนนี้ได้ จะต้องมีอิสระจากภาครัฐ มีความเป็นกลาง เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ออกมาเป็นกลาง

โดยเชื่อมั่นว่าการสรรหาตำแหน่งดังกล่าว จึงไม่น่าจะใช่เรื่องที่น่ากังวลจนเครียด ว่ารัฐบาลจะส่งคนเข้าไปแทรกแซงการทำงานของ ธปท. มองว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น

“ธนาคารกลางมีหน้าที่ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน จึงต้องมีความเป็นอิสระในการทำงานจากรัฐบาล เพราะรัฐบาลก็มีเป้าหมายสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ซึ่งหากกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วไป แรงไป ธนาคารกลางของทุกประเทศก็มีหน้าที่จะต้องใช้กลไกของอัตราดอกเบี้ย กลไกทางการเงินในการควบคุมไม่ให้เศรษฐกิจโตเร็ว หรือโตร้อนแรงจนเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะเป็นผลร้ายกับเศรษฐกิจ”

นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจของไทย จะเห็นว่ารัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และ ธปท. มีความเห็นไม่สอดคล้องกันหลายครั้ง ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย จึงเป็นจุดที่ทำให้เกิดความห่วงใยว่า หากรัฐบาลกดดัน หรือ สั่งการให้ ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการแทรกแซงโดยรัฐ จุดนี้ถือว่า น่าเป็นห่วงมากกว่า สำหรับเรื่องการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

นายธนวรรธน์ ยังกล่าวถึงกรณี ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลมีข้อจำกัดทางการคลังมากขึ้น จึงเริ่มส่งสัญญาณไปที่นโยบายการเงิน เพื่อให้ช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกแรง ว่า ภายหลังการหารือร่วมกัน ระหว่างกระทรวงการคลัง กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ยังเห็นพ้องกันว่าจะยึดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% เช่นเดิม

แม้ว่ากระทรวงการคลัง จะต้องการให้เงินเฟ้อขยับขึ้นเป็น 2% นั้น ก็สามารถอนุมานได้ว่ากระทรวงการคลัง มีข้อจำกัดทางการคลังมากขึ้นจริง จึงอยากเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินเข้ามาช่วยเสริม

ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนหนึ่งเพื่อดูแลเรื่องเงินเฟ้อ และช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นต่อไป

แต่ในระยะถัดไป ธปท. ได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่า ดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันเหมาะสมแล้ว ดังนั้น การลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง จึงอาจไม่ใช่จุดที่เป็นความเห็นร่วมกัน และเป็นการแสดงความเป็นอิสระในการทำงานของ ธปท. ด้วย

ขณะที่ จากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นั้น สะท้อนว่า นโยบายการคลังที่ออกไปผ่านมาตรการเติมเงิน 10,000 บาท วงเงิน 1.45 แสนล้านบาท

และนโยบายลดราคาสินค้า 1.1 แสนล้านบาท ยังไม่ช่วยทำให้เศรษฐกิจในต่างจังหวัดฟื้นขึ้นได้อย่างชัดเจน ดังนั้น จึงอาจมีความจำเป็นที่รัฐบาล จะต้องใช้นโยบายการคลังผสมผสานไปกับนโยบายการเงิน เพื่อช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะต่อไป

  • สลาก N3 ขายดี

นาย ธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลข 3 หลัก หรือ สลาก N3 งวดแรก ที่จำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปในระบบทดสอบ (Sandbox) สำนักงานสลากฯ ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมทดสอบเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่วันแรกที่เปิดจำหน่าย

โดยมียอดจำหน่ายในงวดแรกรวม 1,898,869 ฉบับ จากเป้าที่ตั้งไว้ที่ 5 ล้านฉบับ จำนวนผู้ซื้อ 85,468 ราย เฉลี่ยซื้อรายละ 22 ฉบับ

ซึ่งเป็นปริมาณใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากในช่วงการทดสอบจำหน่าย มีการกำหนดจุดจำหน่ายอย่างจำกัดผ่านโครงการสลาก 80 จำนวน 647 จุดจำหน่ายเท่านั้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “พิชัย” มั่นใจ คลัง – ธปท. สอดประสานกันมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

: ธนาคารแห่งประเทศไทย