- แต่แฟ้มติดอยู่หน้าห้องเลขานายกฯ
- ยังไม่นำเข้าบรรจุวาระ
- มั่นใจถูกนำเข้าพิจารณาและผ่านได้แน่
ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงข้อร้องเรียนของสภาอาชีพเกษตรกรผู้ปลูกลำไย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ในความกังวลเกี่ยวกับโครงการเยียวยาลำไยไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 25 ไร่ ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เซ็นเพื่อเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.2565
ตามที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานพิจารณาต้นทางเสนอมา จากนั้นฝ่ายเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง โดยความเห็นของสำนักงบประมาณได้ส่งเรื่องให้ฝ่ายเลขาต้นทางซึ่งคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับระเบียบบางประการก่อนที่จะนำเข้าคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
โดยล่าสุดโครงการฉบับปรับปรุงแก้ไข นายจุรินทร์ได้ลงเซ็นอีกรอบหนึ่งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2566 ให้นำกลับเข้าเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อการดูแลต้นทุนเกษตรกรผู้ปลูกลำไย ซึ่งครอบคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออก แต่มีรายงาน จากสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่าฝ่ายเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเลขา ครม.ยังไม่ได้หยิบเรื่องนี้บรรจุเข้าเป็นวาระในที่ประชุมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าไม่น่าจะติดขัดอะไรอีกแล้ว ซึ่งในวันจันทร์นี้ ทางเกษตรกรขอให้มีผู้ติดตามการบรรจุวาระอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับการดูแลเยียวยานี้ เป็นมาตรการเฉพาะกิจนอก เหนือจากมาตรการที่ดูแลโดยกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่ต้นฤดูกาลผลิตจนกระทั่งการดูแลตลาดส่งออกมาตลอด 4 ปี โดยผลผลิตล่าสุดปี 2565 มีจำนวน 1.56 ล้านตัน มีการบริโภคภายในประเทศ 20% คือ 0.34 ล้านตัน และผลักดันการส่งออก 80% คือ 1.25 ล้านตัน ตลาดส่งออกมากที่สุด คือ จีน 75% อินโดนีเซีย 13% มาเลเซีย 3% อื่น ๆ 9% ช่วงเก็บเกี่ยวของภาคเหนือออกสู่ตลาดมากที่สุด คือ ช่วงก.ค.-ส.ค. ประมาณ 37% นอกจากนั้นเป็นลำไยนอกฤดูกาล 40% อยู่ในภาคตะวันออก ซึ่งมีช่วงฤดูออกสู่ตลาดมากที่สุด คือ เดือนพ.ย.-ธ.ค. คือ 27%
ดร.มัลลิกากล่าวว่า ต้องขอบคุณทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความใส่ใจต่อเกษตรกรได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าลำไยจะอยู่ในราคาที่ดีมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แต่รัฐบาลก็ยังเอาใจใส่ทุกมิติ โดยมีมาตรการกับแนวทางแก้ไขปัญหาราคาลำไยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมีการจัดการในประเทศ ทั้งกรณีบริหารจัดการผ่านโรงอบรับซื้อ การสร้างรูปแบบเกษตรพันธสัญญา เช่น อมก๋อยโมเดล การกระจายออกนอกพื้นที่ การใช้โมบายรถเร่ และการเปิดจุดจำหน่าย นอกจากนั้น ยังเสริมสภาพคล่องผู้ค้าผู้ส่งออก โดยการใช้มาตรการช่วยค่าบริหารจัดการ 4 บาทต่อกิโลกรัมและช่วยดอกเบี้ย 3% 6 เดือน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้รับคำชื่นชมจากทั้งผู้ประกอบการและฝ่ายต่าง ๆ คือ การเตรียมความพร้อมทั้งการขนส่งผลไม้เข้าประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด โดยในปี 2566 ทราบว่าได้มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานศุลกากรในประเทศทั้งจีน เวียดนาม ลาว มีการจัดประชุมสถานการณ์และแนวทางการส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตร อาหารและเครื่องดื่มเป็นระยะและได้ใช้ประโยชน์จากรถไฟลาว-จีน เป็นเส้นทางใหม่ในการขนส่งผลไม้เพิ่มขึ้นอีก
และใช้ประโยชน์จากการจัดทำ Mini-FTA กลับมณฑลยูนนาน และยังได้ประสานเป็นการภายในกับเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องของจีน รวมทั้งกิจการกระทรวงพาณิชย์ Export Clinic ทั้งหมดจะครอบคลุมมาตรการดูแลต้นทางปลายทาง