

- แรงงานไทยมีจุดแข็งเรื่องทักษะการผลิตในอุตสาหกรรมยาวนาน
- คาดใช้เวลานานถึง 10 ปีกว่าจะใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังศึกษาโครงสร้างภาษีรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ โดยกรมฯ จะพิจารณาทั้งตัวรถยนต์ และแบตเตอรี่ ที่นำมาใช้ เพื่อให้เอื้ออำนวยให้นักลงทุนเข้ามาผลิตในประเทศแทนที่จะนำเข้า ซึ่งปัจจุบันไทยมีฐานการผลิตรถยนต์ที่ใช้ระบบสันดาป หรือ เครื่องยนต์แบบลูกสูบ ทำให้มีทักษะในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งในการดึงดูดนักลงทุน แม้ว่าจะมีข่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า จะไปตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากอินโดนีเซียมีแร่ธาตุสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ก็ตาม
“คาดว่า การใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในประเทศคงไม่ได้เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 3 -5 ปีข้างหน้า แต่จะใช้เวลาเป็น 10 ปี ซึ่งในแง่ของกรมจัดเก็บภาษี โดยเฉพาะภาษีน้ำมัน ถือเป็นรายได้สำคัญของกรม จึงยังไม่ได้รับผลกระทบอย่างทันที แต่จะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งกรมก็ได้ปรับตัวโดยหันมาเก็บ ภาษีจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนแล้วในปัจจุบัน หรือ คาร์บอน tax
สำหรับปัจจุบันโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ มีการส่งเสริมรถยนต์บางประเภท เพื่อให้เป็นสินค้าที่ถือเป็นสุดยอด หรือ โปรดักส์ แชมเปี้ยน (Product Champion) อาทิ รถยนต์ประเภทอีโค่ คาร์ (eco car) หรือรถยนต์รักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำ ตามนโยบายส่งเสริมรถยนต์ประเภทนี้ ซึ่งจะหมดอายุในปี 2568 แต่เมื่อรัฐบาลต้องการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ก็จะต้องสร้างสินค้าโปรดักส์ แชมเปี้ยน ตัวใหม่
“โครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ ที่ต้องการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้านั้น จะต้องเป็นโครงสร้างที่ไม่ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง แต่ต้องคำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีที่เป็นพลังงานสะอาดมากกว่า”