ม.หอการค้าไทยคาดโควิดรอบใหม่ฉุดจีดีพีปี 64 โตแค่ 2.2%



  • จากเดิมคาดขยายตัวได้ถึง 2.8% เหตุกระทบใช้จ่ายประชาชน 
  • ภาคการผลิต ส่งออก ท่องเที่ยว โดนหางเลขเหมือนกันหมด 
  • แนะรัฐลุยต่อ ”คนละครึ่ง” กระตุ้นใช้จ่าย-เพิ่มเงินอัดฉีดในระบบ 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ในประเทศ ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และขยายไปหลายจังหวัด จนรัฐบาลต้องประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มข้นขึ้นนั้น อาจส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 64 เติบโตเหลือ 2.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้เดิมที่ 2.8% เพราะนอกจากจะกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชนแล้ว ยังระทบต่อภาคการผลิต และภาคการส่งออก รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวด้วย 

ทั้งนี้ ศูนย์ประเมินว่าสถานการณ์ไม่ควรยืดเยื้อนานเกิน 3 เดือน โดยรัฐบาลต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้อย่างน้อย 200,000 ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งต้องมีมาตรการเพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนควบคู่ไปกับกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ซึ่งเห็นว่าแนวทางที่ดีที่สุดคือ “มาตรการคนละครึ่ง” เพราะช่วยให้มีเม็ดเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อีกอย่างน้อย 2-3 เท่าตัว 

“การใช้เงิน 200,000-300,000 ล้านบาทเป็นการช่วยพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุด แต่ถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ต้องใช้เงิน 400,000-600,000 ล้านบาท ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องกู้เพิ่ม แต่ใช้งบจากการขาดดุลงบประมาณที่มีอยู่ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หากกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว การจัดเก็บรายได้จะเข้ามาตามแผน แต่ถ้ารัฐบาลคุมสถานการณ์ไม่อยู่ จนต้องล็อกดาวน์อย่างเข้มข้นขึ้น (ฮาร์ด ล็อกดาวน์) คาดว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/64 มีโอกาสติดลบถึง 11.3% แต่ปัจจุบัน ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 อาจติดลบ 4% และหากคลี่คลายสถานการณ์ได้ภายในไตรมาส 1 ก็มีโอกาสที่จีดีพีไตรมาส 2 จะพลิกกลับมาขยายตัวได้ 8-10%”  ดังนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ จึงจำเป็นอย่างมากในการพยุงเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1 กระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 และสร้างโมเมนตัมในไตรมาส 3-4 ซึ่งต้องขึ้นกับสถานการณ์ควบคุมโควิด และประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีน ขณะเดียวกัน ยังมองว่า หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 1 ปีนี้อาจทะลุ 90% ของจีดีพี สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถ้าไม่สามารถคุมโควิดได้ อาจทำให้รัฐบาลต้องล็อกดาวน์อย่างเข้มข้น 

ด้านนายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ศูนย์ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจไว้ใน 3 กรณี คือ กรณีฐาน (คุมสถานการณ์ได้ภายใน 1 เดือน โดยใช้ซอฟท์ ล็อกดาวน์) คาดจีดีพีปี 64 จะโตได้ 2.2% อัตราการว่างานอยู่ที่ 1.71% หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 85% ความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 100,000-200,000 ล้านบาท, กรณีที่แย่กว่า (คุมได้ภายใน 2 เดือน โดยใช้ซอฟต์ ล็อกดาวน์ 1 เดือน ร่วมกับฮาร์ด ล็อกดาวน์ 1 เดือน) คาดจีดีพีปี 64 จะโตได้ 0.9% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.76% หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 86.1% ความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 200,000-400,000 ล้านบาท 

ส่วนกรณีแย่ที่สุด (คุมได้ภายใน 3 เดือน โดยใช้ซอฟต์ ล็อกดาวน์ 1 เดือน และฮาร์ด ล็อกดาวน์ 2 เดือน) คาดจีดีพีปี 64 จะติดลบ 0.3% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.81% หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 87.2% ความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 300,000-600,000 ล้านบาท