ดาวโจนส์ยืนแดนบวกกว่า 200 จุด ลุ้นแดโมแครตครอง 2 สภา




. นักลงทุนจับตาผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารรัฐจอร์เจียคาดแดโมแครตคุมเบ็ดเสร็จ
.ลุ้นรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลอตใหม่–ขึ้นภาษีนิติบุคคล
. แนสแด็กปรับตัวลง หลังตลาดหุ้นสหรัฐยืนยันถอด 3 หุ้นเทเลคอมจีน

เมื่อเวลา 22.00น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 30,632.60 จุด เพิ่มขึ้น 241.00 จุด หรือ +0.79% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 12,724.66 จุด ลดลง 94.30 จุด หรือ -0.74% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,734.74 จุด เพิ่มขึ้น 7.88 จุด หรือ +0.21%

ตลาดหุ้นแนสแด็กปรับตัวลดลง หลังตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ออกแถลงการณ์ในวันนี้ ยืนยันว่า NYSE จะปลดหลักทรัพย์ของ 3 บริษัทสื่อสารรายใหญ่ของจีนออกจากตลาด หลังจากนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ NYSE และแสดงความไม่พอใจต่อนายสเตซีย์ คันนิงแฮม ประธานบริษัท NYSE Group ที่ได้ตัดสินใจอนุมัติให้หลักทรัพย์ของบริษัททั้ง 3 ยังคงสามารถซื้อขายในตลาดต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา NYSE ได้ประกาศว่าจะยกเลิกแผนการถอดหลักทรัพย์ของบริษัทไชน่าเทเลคอม, ไชน่าโมบายล์ และไชน่ายูนิคอม ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งขอให้ถอดถอนหุ้นดังกล่าวในช่วงกลางเดือนนี้ แต่สุดท้ายยืนยันว่าจะมีการถอดถอนหุ้นทั้ง 3 ตัวดังกล่าว

นักลงทุนจับตาผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสองในรัฐจอร์เจีย ซึ่งเริ่มนับคะแนนแล้วในช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ตามเวลาบ้านเรา ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า นายราฟาเอล วอร์นอค และนายโจน ออสซอฟฟ์ ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตจะมีชัย และทำให้ พรรคเดโมแครตก็จะสามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา โดยล่าสุด สื่อรายงานว่า นายวอร์นอคสามารถคว้าชัยชนะเหนือนางลอฟเฟลอร์ได้แล้ว ขณะที่คะแนนของนายออสซอฟฟ์ยังคงนำนายเพอร์ดิวมากกว่า 16,000 คะแนน

หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยคว้าตำแหน่งวุฒิสมาชิกในรัฐจอร์เจียทั้ง 2 เก้าอี้ จะมีทั้งผลดีและไม่ดีต่อตลาดหุ้น โดยทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเอื้อต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 แต่ก็ทำให้การผลักดันมาตรการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลภายใต้รัฐบาลของนายโจ ไบเดน เป็นไปได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐลดลง 123,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน นับตั้งแต่เดือนเม.ย. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 88,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ การจ้างงานที่ชะลอตัวลงในเดือนธ.ค.ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ในสหรัฐ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจปิดกิจการ และปลดพนักงานเพิ่มขึ้น