

- เหตุคนทั่วโลกแห่ซื้อรองรับกักตัว-ทำงานที่บ้าน
- ย้ำส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอมูลค่าเพิ่มกระฉูด
- แนะใช้เอฟทีเอสร้างแต้มต่อหลังหลายประเทศเลิกเก็บภาษี
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคกักตัวเองอยู่ที่บ้าน และทำงานที่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้ซื้อสินค้ากลุ่มอาหารกระป๋องและอาหารแปรรูปมากขึ้น โดยสินค้าดาวรุ่ง คือ ผักกระป๋องและแปรรูป ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตและเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 6 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป จีน สหรัฐฯ แคนาดา และตุรกี รวมทั้งมียอดการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนม.ค.-พ.ย.63 ไทยส่งออกผักกระป๋องและแปรรูปสู่ตลาดโลก มูลค่า 455 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปี 62 โดยตลาดส่งออกสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น 91.7 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 2%, อาเซียน 65 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 18%, สหรัฐฯ 62.9 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 17% และเกาหลีใต้ 32.1 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 27%
สำหรับผักกระป๋องและแปรรูป ที่ไทยส่งออกมากเป็นอันดับ 1 ได้แก่ ข้าวโพดหวานกระป๋องและแปรรูป มูลค่าส่งออก 201.4 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 12% มีสัดส่วน 44% ของการส่งออกทั้งหมด, หน่อไม้ฝรั่งกระป๋องและแปรรูป 15.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 30%, ผักดองด้วยน้ำส้มสายชู 12.8 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 4%, เห็ดแปรรูป 11.7 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 8% และผักกระป๋องและผักแปรรูปอื่นๆ 194.7 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 2%
นางอรมน กล่าวว่า ตลาดส่งออกสำคัญสำหรับผักกระป๋องและแปรรูปของไทย ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อยู่ด้วย และ 18 ประเทศคู่เอฟทีเอของไทยนั้น มี 9 ประเทศ ที่ลด และยกเลิกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าผักกระป๋องและแปรรูปจากไทยแล้ว โดย จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และฮ่องกง ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวให้ไทยแล้ว ส่วนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และเปรู ลด/ยกเลิกภาษีนำเข้าบางส่วน จึงสินค้าดังกล่าวจากไทยมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น และทำให้ผู้ส่งออกไทยส่งออกได้มากขึ้น
“จากการวิเคราะห์แนวโน้มความต้องการสินค้าผักกระป๋องและแปรรูปในตลาดโลก คาดว่าจะเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงและเติบโตได้ดีในระยะยาว เพราะตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน และนิยมดูแลสุขภาพจึงบริโภคผักมากขึ้น โดยไทยมีข้อได้เปรียบด้านการเพาะปลูกพืชผักนานาชนิด และมีจุดแข็งด้านการผลิตที่มีมาตรฐานอาหารปลอดภัยตามหลักสากล จึงมีโอกาสขยายการส่งออกผักกระป๋องและแปรรูปได้เพิ่มขึ้น”