ดาวโจนส์ลบ 44จุด หวั่นเศรษฐกิจฟื้นช้าแม้มติเฟดคงดอกเบี้ยต่อ



.เฟดมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25%

.อัดQEต่อระดับเดิม -กังวลโควิดกระทบภาคแรงงาย

.นักลงทุนจับตามาตรการตุ้นเศรษฐกิจ -งบประมาณหวั่นรัฐบาลชัตดาวน์จ่ายสวัสดิการไม่ได้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที 16ธ.ค.ที่ 30,154.54 จุด ลดลง 44.77 จุด หรือ -0.15% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 12,658.19 จุด เพิ่มขึ้น 63.13 จุด หรือ +0.50% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,701.17 จุด เพิ่มขึ้น 6.55 จุด หรือ +0.18%

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในวันนี้ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของเฟดในปีนี้

โดยแถลงการณ์หลังการประชุมของเฟดระบุว่า เฟดจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2%

เฟดยังระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และเงินเฟ้อในระยะสั้น และสร้างความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลาง

นอกจากนี้ เฟดระบุว่าจะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน

อย่างไรก็ตาม แม้เฟดจะคงดอกเบี้ย แต่ยังแสดงความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป ประกอบกับตัวเลขเศรฐกิจที่ออกมายังไม่แสดงการฟื้นตัวที่ชัดเจน ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบ ขณะที่แนสแด็กและเอสแอนด์พีแม้ปิดในแดนบวก แต่บวกไม่มากนัก

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ร่วงลง 1.1% ในเดือนพ.ย ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการที่ภาคครัวเรือนมีรายได้ลดลง เนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนมากประสบภาวะตกงาน

ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.ของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 56.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 56.7 ในเดือนพ.ย. ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนธ.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 55.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.4 ในเดือนพ.ย.

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 2.41% หุ้นทวิตเตอร์ พุ่งขึ้น 2.32% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ บวก 0.97% หุ้นแอมะซอน พุ่งขึ้น 2.4% หุ้นอินเทล บวก 0.9%

แต่หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ปรับตัวลง 0.22% หลังจากอัยการรัฐเท็กซัสประกาศว่าจะยื่นฟ้องบริษัทอัลฟาเบทกรณีละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาด

หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่ร่วงลงหนักสุดถึง 1.15% เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาหุ้นพุ่งแรงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยหุ้นพีจีแอนด์อี คอร์ปอเรชั่น ร่วงลง 1.07% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ ดิ่งลง 1.7% หุ้นเฟิร์สท์เอนเนอร์จี ร่วงลง 1.56%

หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของสายการบินหลายแห่งในสหรัฐ โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 3.08% หุ้นเจ็ทบลู แอร์เวย์ส ร่วงลง 1.15% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ลดลง 0.88% หุ้นสปิริท แอร์ไลน์ ร่วงลง 1.95% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ร่วงลง 1.49%

นักลงทุนจับตาการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยล่าสุดนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า แกนนำในสภาคองเกรสมีความคืบหน้าในการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการออกกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลอันเนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณ (ชัตดาวน์)

ทั้งนี้ หากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ก็จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลเผชิญภาวะชัตดาวน์ในวันที่ 19 ธ.ค. และชาวอเมริกันที่ตกงานจะไม่ได้รับเงินชดเชยจากสวัสดิการว่างงานในวันที่ 26 ธ.ค.