

- เพิ่มความคล่องตัวในการซื้อขายพันธบัตรของประชาชน
- เบื้องต้นใช้ธนาคารเป็นช่องทางในการรับซื้อและขาย
- ชี้ทำให้ราคาขายเป็นไปตามกลไกตลาด
นางแพตริเซีย มงคลวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)กล่าวว่า ในปัจจุบันผู้ที่ต้องการขายพันธบัตรออมทรัพย์ ที่ยังไม่ถึงระยะเวลาไถ่ถอนพันธบัตร สามารถทำได้ด้วยการขายคืนให้กับธนาคารที่เป็นผู้จัดจำหน่ายพันธบัตร ซึ่งธนาคารจะคิดราคารับซื้อในราคาที่มีส่วนลด (discount) และธนาคารจะถือพันธบัตรออมทรัพย์ที่รับซื้อไว้ ไม่สามารถนำออกขายคืนให้กับประชาชนได้
ดังนั้นเพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับประชาชน ที่ถือพันธบัตรออมทรัพย์ และต้องการเปลี่ยนพันธบัตรที่ถือเป็นเงินสดได้รวดเร็ว ในต้นทุนทางการเงินที่ต่ำสบน.จึงคิดที่จะสร้างตลาดรองสำหรับซื้อขายพันธบัตรออมทรัพย์ขึ้นมา
ทั้งนี้คาดว่า ตลาดรองสำหรับพันธบัตรออมทรัพย์ น่าจะเกิดขึ้นได้ในราวก.ค.ปีหน้า โดยในระหว่างนี้สบน. จะต้องกำหนดกฎเกณฑ์ของตลาด เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนในการซื้อและขายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านตลาดรอง โดยในเบื้องต้น ตลาดรองในการซื้อขายพันธบัตรออมทรัพย์ จะใช้ธนาคารเป็นช่องทางในการรับซื้อและขาย แต่ในอนาคตสบน. อยากเห็นการซื้อขายระหว่างคน กับคน ซึ่งจะต้องเคลียร์ในประเด็นกฎหมายและภาษี
“การมีตลาดรอง จะทำให้คนที่ลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ ซึ่งเป็นแหล่งเงินออมของคนทั่วไป ได้รับประโยชน์ในการแปลงพันธบัตรเป็นสภาพคล่องในเวลาที่ต้องการ และราคาขายก็จะเป็นไปตามกลไกตลาด”
ทั้งนี้สบน.วางแผนที่จะออกพันธบัตรออมทรัพย์ในปีงบประมาณ 2564 ในวงเงิน 100, 000 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกของปีหน้าจะออกล็อตแรก 50, 000ล้านบาท แต่ย่างไรก็ตามวงเงินการออกพันธบัตรออมทรัพย์ว่าจะออกเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้เงินของรัฐบาลในช่วงนั้นๆด้วย ซึ่งพันธบัตรออมทรัพย์ถือเป็นเครื่องมือในการระดมเงินก้อนใหญ่ในระยะเวลาอันสั้น แต่มีต้นทุนที่แพงกว่าการออกพันธบัตรรัฐบาล
“ในปัจจุบัน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้คนอาจลดการถือเงินสดและนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นหรือตราสารหนี้มากขึ้น สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์นั้น ในปัจจุบันมียอดคงค้างอยู่ที่ 345,000 ล้านบาท และมีคนถือประมาณ 100, 000 คน”
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา การลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ ถูกมองว่าไกลตัวและเป็นการลงทุนของคนแก่ ที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง เงินต้นไม่หายแม้ว่าดอกเบี้ยไม่ได้สูงมาก ดังนั้นที่ผ่านมาจึงเป็นการลงทุนของคนที่มีอายุและมีเงิน ทำให้พอร์ตการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์จะเป็นคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่า 50 % อีกกลุ่มคือ อายุ 50 ปลายๆ รวมแล้วเกินกว่า 75 % แต่เมื่อสบน. เริ่มใช้เทคโนโลยีในการขายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านแอปพลิเคชัน ทำให้สามารถดึงคนที่มีอายุน้อยลงมาซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ได้มากขึ้น โดยในปัจจุบันมีคนอายุ 15-24 ปี ประมาณ 9, 000 กว่าราย ที่ซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านอีวอตเล็ตจำนวนมาก
นอกจากนี้ เมื่อพันธบัตรออมทรัพย์กลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถเข้าถึงคนได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น สบน.จึงได้ปรับลด วงเงินศื้อขั้นต่ำจาก 1, 000 บาท/หน่วย เป็น 1 บาท/หน่วย สำหรับการซื้อพันธบัตรรุ่น สะสมบอนด์ มั่งคั่ง (สบม หรือ ซื้อผ่าน e-wallet) แต่เวลาเสนอขาย เราขาย คนซื้อต้องซื้อขั้นต่ำ 100 บาทขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อให้คุ้มกับค่าบริหารจัดการ การแตกราคาพันธบัตรลงมาต่ำในระดับ 1 บาทนั้น ทำให้คนทุกระดับสามารถเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์ได้