

เปิดหลักฐาน ความเห็นสภาพัฒน์ เสนอความเห็นต่อที่ประชุม ครม.สนอให้ กทม.บริหารจัดการเดินรถสายสีเขียว ตามขั้นตอนพ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐโดยภายใต้การปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่กระทรวงมหาดไทย พยายามเร่งผลักดันเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นชอบขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ออกไปอีก 30 ปี หลังครบอายุสัมปทานในปี 2572 ซึ่งเมื่อขยายอายุสัมปทานแล้ว จะครบอายุสัมปทานในปี 2602 โดยอ้างอิงมาตรา 44 ซึ่งมีข้อยกเว้น พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน จนกลายเป็นข้อครหาว่า จะเกิดความไม่โปร่งใส และถือว่าไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งยังถูกมองว่า เป็นการ “ผูกขาด” และ “เอื้อประโยชน์” ให้กับ BTS
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบข้อมูลจากสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ทำหนังสือขอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เรื่อง การกู้เพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วง หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ เพื่อประกอบการพิจารณาของครม.เมื่อวันที่ 26 พ.ย.2561 นั้น ทางสภาพัฒน์ ได้มีความเห็นว่า เห็นควรให้ความเห็นชอบการกู้เงินเพื่อใช้ในการโอนโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วง หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
นอกจากนี้ ยังเห็นควรให้ กรุงเทพมหานคร(กทม.)เร่งเสนอรูปแบบการลงทุนและบริหารจัดการเดินรถตามขั้นตอน พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพ.ศ.2556 เพื่อให้กทม.สามารถเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ในเดือนธันวาคม 2561 ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ภายใต้การปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
แต่เมื่อเปิดดูสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวในเมือง เส้นหมอชิต-ตากสิน-อ่อนนุช หรือเส้นทางที่ถูกขนานนามว่า “ไข่แดง” เป็นสัมปทานรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และสนับสนุนวงเงินลงทุนบางส่วน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบและขบวนรถไฟฟ้า และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง ครบสัญญาในปี 2572
ขณะที่สัญญาส่วนต่อขยาย ทั้งทางด้านเหนือ (ไปคูคต) และทางด้านใต้ (ไปสมุทรปราการ) เป็นรูปแบบ PPP Gross Cost โดยจ้างเอกชนบริหารเดินรถ และรัฐเป็นผู้จัดเก็บรายได้ ครบสัญญาในปี 2585
แต่พอดูจริงๆกลับพบว่า กทม. ได้หลบเลี่ยงพ.ร.บ. ร่วมทุนฯ โดยให้บริษัทกรุงเทพธนาคม ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน ในเครือของกทม. ดำเนินการเป็นคู่สัญญากับ BTSC แทน เพราะบริษัทกรุงเทพธนาคม เป็นบริษัทเอกชน ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ จนถูกร้องเรียน และอยู่ในชั้นสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ดังนั้นจึงมีการตั้งคำถามว่า เหตุใด กระทรวงมหาดไทย และกทม. ถึงยังจะต่อขยายสัมปทานให้กับ BTS อีก
และเหตุใด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. จึงออก มาตรา 44. โดยไม่ถือเป็น การร่วมทุนตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ทั้งๆ ที่ สภาพัฒน์ให้ความต่อครม. อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนว่า ให้กทม.ดำเนินการตามขั้นตอน พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพ.ศ.2556 โดยปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และครม.เองก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใดด้วย
