

- แถว “ลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ” เปิดตัวโครงการใหม่มากสุด
- คาดปี 64 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวมในปี 2563 ส่งผลต่อภาคการลงทุนในธุรกิจที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 อย่างไรก็ตามหลังจากที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ และผู้ประกอบต้องปรับตัวโดยการลดราคาหรือค่าใช้จ่ายต่างๆ
ส่งผลทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธ์อยู่อาศัยของไตรมาส 3 มีจำนวนทั้งสิ้น 93,230 หน่วย มูลค่า 246,066 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 17.1% และยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 จำนวน 20,965 หน่วย โดยเฉพาะแนวราบ หลังเร่งระบายสต๊อกในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ผลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสะสม 9 เดือน(ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวนทั้งสิ้น 261,855 หน่วย มูลค่า 668,936 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อน 7.9% ซึ่งอยู่ในระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี ทั้งนี้พบว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบทั้งสิ้นจำนวน 180,322 หน่วย มูลค่า 458,280 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า 6.1%
ส่วนอาคารชุดมีจำนวนทั้งสิ้น 81,533 หน่วย มูลค่า 210,656 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า 11.6% โดยพบว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ประเภทบ้านใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 131,303 หน่วย มูลค่า 425,134 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า 5.5% และบ้านมือสอง ทั้งสิ้น 130,552 หน่วย มูลค่า 243,802 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า 10.2%
“คาดการณ์ว่า ปี 2563 แนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจะอยู่ที่ประมาณ 351,640 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 862,500 ล้านบาท มีการปรับตัวลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า 10.3% และ 7.3% ตามลำดับ”
ขณะที่การเปิดตัวโครงการใหม่ที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยอดสะสม 9 เดือน พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 50,781 หน่วย มูลค่า 228,949 ล้านบาท มีการปรับตัวลดลง 20.9% ซึ่งเป็นการลดลงของโครงการอาคารชุดมากถึง 41.8% ขณะที่บ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น 3.5%
ส่วนทำเลที่มีโครงการเปิดตัวใหม่สะสมมากที่สุดในช่วง 9 เดือนแรก จำนวน 5 ทำเล ประกอบด้วย 1. ลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ จำนวน 6,153 หน่วย 2. เมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 4,677 หน่วย 3. บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 4,210 หน่วย 4. เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 3,799 หน่วย และ 5. บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 3,495 หน่วย โดยกลุ่มราคาที่มีการเปิดตัวใหม่สูงสุดคือระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท
“คาดการณ์ว่า ปี 2563 โครงการเปิดตัวใหม่จะลดลงมาอยู่ที่ 71,467 หน่วย ซึ่งเป็นการลดลงของโครงการอาคารชุดมากถึง 50.0% ขณะที่บ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น 1.4%”
สำหรับแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2564 มีปัจจัยบวกที่เพิ่มเข้ามาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ และการปรับตัวของผู้ประกอบการ โดยคาดว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 353,236 หน่วย มีมูลค่า 876,121 ล้านบาท ในปี 2564 หรือสูงสุดไม่เกิน 383,272 หน่วย มีมูลค่าสูงสุดไม่เกิน 950,591 ล้านบาท
นอกจากนี้คาดการณ์ว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2564 เพิ่มเป็น 88,828 หน่วย มีมูลค่า 400,306 ล้านบาท หรือสูงสุดไม่เกิน 102,151 หน่วย มูลค่า 448,559 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้น 24.3% และสูงสุด 42.9% ทั้งนี้เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำมากในปี 2563 โดยสัดส่วนของโครงการบ้านจัดสรรจะมีจำนวนประมาณ 44,069 หน่วย มูลค่า 286,463 หรือ 58.6% ส่วนอาคารชุดจะมีจำนวนประมาณ 36,784 หน่วย มูลค่า 113,843 คิดเป็น 41.4%
“จากแนวโน้มของตลาดทั้งด้านขายและความต้องการซื้อในปี 2564 ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ มีมุมมองว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2564 จะค่อยๆ มีการขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปี 2563 และจะปรับตัวดีขึ้นชัดเจนในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2564 ซึ่งเป็นการฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ”