

- พร้อมฟังความเห็นจากผู้ใช้-ผู้นำเข้าที่ได้รับผลกระทบ
- เหตุหลายอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้ถ้าเก็บอากรเอดีต้นทุนพุ่งแน่
- แต่ถ้ารัฐไม่ใช้มาตรการป้องกันหวั่นผู้ผลิตฟิล์มบีโอพีพีไทยตาย
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่หลายอุตสาหกรรมกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดไต่สวนเพื่อพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าฟิล์มบรรจุภัณฑ์ไบแอคเซียลลี ออเรียนเต็ดโพลิโพรพิลีน (บีโอพีพี) เกรดทั่วไป จาก 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย จีน และอินโดนีเซีย ว่า กรมตระหนักดีถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่อง เนื่องจากสินค้าดังกล่าวมีห่วงโซ่อุปทานยาวและเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องจำนวนมาก ที่ใช้ฟิล์มบีโอพีพี เช่น อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น จึงได้จัดประชุมหารือร่วมกับผู้ผลิต ผู้นำเข้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 17 พ.ย.63 เพื่อหารือถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และแนวทางเยียวยาหากมีการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้านี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาไต่สวน
“กรมได้ดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดอย่างรอบคอบ และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ทั้งอุตสาหกรรมภายใน อุตสาหกรรมต่อเนื่อง ผู้บริโภค และประโยชน์สาธารณะอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้า และปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย”
โดยในการหารือนั้น ได้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้ที่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันในหลายประเด็น เช่น การกำหนดราคาสินค้าที่แข่งขันได้ การส่งมอบสินค้าที่ทันต่อความต้องการ และการผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ เป็นต้น และผู้ผลิตยังรับที่จะเดินสายคุยกับผู้นำเข้า และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจอันดี และสร้างความเชื่อมั่นในการทำการค้าระหว่างกันต่อไป
สำหรับการนำเข้าสินค้าฟิล์มบีโอพีพีเกรดทั่วไป จากมาเลเซีย จีน และอินโดนีเซียนั้น ในปี 60-62 ไทยนำเข้า 75.58%, 79.89% และ 87.50% ตามลำดับ ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด โดยมีปริมาณและมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ มีปริมาณนำเข้าจากมาเลเซีย 12,410.89 ตัน มูลค่า 717.67 ล้านบาท, จากจีน 15,074.88 ตัน มูลค่า 902.10 และจากอินโดนีเซีย 18,541.18 ตัน มูลค่า 1,019.37 ล้านบาท
ส่วนในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี 63 นำเข้าจากมาเลเซียสูงสุด 7,257.23 ตัน มูลค่า 355.55 ล้านบาท รองลงมา คือ จีน 5,605.14 ตัน มูลค่า 271.40 ล้านบาท และอินโดนีเซีย 3,080.52 ตัน มูลค่า 213.07 ล้านบาท โดยสัดส่วนการนำเข้าจากทั้ง 3 ประเทศรวมกันคิดเป็น 85.33% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด หากปล่อยให้สินค้าดังกล่าวจากทั้ง 3 ประเทศ ทุ่มตลาดของไทย (ตั้งราคาขายสินค้าในไทยต่ำกว่าที่ขายในทั้ง 3 ประเทศ) โดยไม่มีมาตรการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ จะทำให้ผู้ประกอบการฟิล์มบีโอพีพีของไทยได้รับความเดือดร้อน และอาจต้องปิดกิจการลง หรือจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานภายในประเทศ และต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว