

- ระดมสารพัดข้อเสนอให้ธุรกิจไม่ล่มสลาย
- ไม่มั่นใจรักษาการจ้างงานได้
- “พิพัฒน์” รับธุรกิจอยู่ไม่ได้ รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้เปิดรับฟังปัญหาการดำเนินธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 จากเจ้าของและผู้บริหารโรงแรมขนาดใหญ่ของไทยกว่า 20 ราย ประกอบด้วย กลุ่มดุสิตโฮเทลแอนด์รีสอร์ท กลุ่มบริษัทและโรงแรมในเครือสุโกศล บริษัทสตาร์โฮมบีชรีสอร์ท จำกัด และลาฟลอรา กรุ๊ป กลุ่มโรงแรมแอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด(มหาชน) หรือ AWC กลุ่มเซนเตอร์ พอยต์ และแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ โรงแรมชาเทรียม แอนด์ เรซิเดนซ์ โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ จำกัด เสม็ดรีสอร์ทกรุ๊ป โรงแรมเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชันแนล จำกัด(มหาชน) แลนด์มาร์ค แลงคาสเตอร์ โฮเต็ลกรุ๊ป บริษัท ดิเอราวัณ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) สันธิญา รีสอร์ต แอนด์ สปา บริษัท ปิยะสมบัติ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ฮอร์ลิเดย์ อินน์ บางกอก โรงแรมเดอะ ทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ และเลอบัว โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท
ซึ่งผู้ร่วมหารือส่วนใหญ่เรียกร้องให้รัฐบาลมีความชัดเจนในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตลอดจนเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือทั้งด้านการเงิน ภาษี สิทธิประโยชน์ต่างๆ การกระตุ้นกลุ่มคนรวยท่องเที่ยวในประเทศแล้วสามารถเอาค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ การจับคู่ประเทศเดินทางไม่กักตัว (ทราเวลบับเบิล) เช่น การทำกับบางมณฑลในจีน เป็นต้น
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ดุสิตฯ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลได้มีการเปิดประเทศเพราะหากปล่อยไปเรื่อยๆ อาจทำให้โรงแรมอยู่ไม่ไหว เพราะตั้งแต่ต้นปีต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเดือนละ 10 – 100 ล้านบาท จึงต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือการถึงแหล่งเงินทุน หรือการประกันเงินกู้ รวมทั้งเสนอให้มีการเหลื่อมวันทำงานเพื่อกระตุ้นให้คนเที่ยววันธรรมดามากขึ้น และเร่งผลักดันกองทุนช่วยเหลือภาคท่องเที่ยว หรือในอนาคตหากมีวัคซีนแล้ว ก็ให้ไทยเตรียมความพร้อมเมื่อนักท่องเที่ยวได้วัคซีนแล้วก็ออกวีซ่า อิเลคทรอนิคส์ และเดินทางมาได้ทันที พร้อมมีการติดตามตัวในประเทศ ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเกิดขึ้นแน่นอนในช่วงกลางปีหน้าในบางประเทศ
น.ส.ศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนในประเทศเข้าใจและยอมรับว่าการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว ไม่ได้ทำให้ประเทศแปดเปื้อน หรือไม่สามารถรักษาความเป็นที่หนึ่งของประเทศที่ไม่มีโควิดเลย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ในอีก 6-10 เดือนข้างหน้าไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาคงล่มสลายแน่ๆ เพราะแต่ละโรงแรมมีค่าใช่จ่ายเดือนละเป็น 10 ล้านบาท ทุกคนยอมเสีย 50-60 ล้านบาท แต่ไม่ใช่หมดเป็นร้อยล้านบาทแล้วไม่ได้อะไรนอกจากหนี้สะสม จึงอยากให้ดูประเทศสิงคโปร์ ที่เปิดให้ฮ่องกงที่เปิดให้ไปมาหากันโดยไม่กักตัว ซึ่งอยากให้ประเทศไทยร่วมกับประเทศใดก็ได้ทำแบบนี้
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า อยากให้ภาครับพิจารณาลดวันกักตัวของนักท่องเที่ยวจาก 14 วันเป็น 10 วันและ 7 วัน ตามลำดับ ซึ่งช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ไมเนอร์ กรุ๊ป ขาดทุนทั่วโลก 14,000 ล้านบาท และขาดทุนในไทย 2,000 ล้านบาท และได้พยายามรักษาการจ้างงานของพนักงานให้มากที่สุด แต่หากยังไม่มีรายได้ก็ไม่รู้จะรักษาไปได้นานเท่าใด จึงอยากให้รัฐเข้ามาสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุน การค้ำประกันเงินกู้ และการสื่อสารให้คนเข้าใจและเลิกกลัวโรงแรมที่เป็น ASQ
นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า มาตรการรัฐน่าจะเจาะจงช่วยโรงแรมได้ เพราะโรงแรมเป็นภาคธุรกิจที่ฟื้นช้าที่สุด เช่น การช่วยจ่ายเงินเดือนพนักงานของโรงแรม 50% ในลักษณะเดียวกับมาตรการที่รัฐบาลออกมาช่วยจ่ายค่าแรงให้เด็กจบใหม่ รวมถึงขยายเวลาลดเงินสบทบเข้ากองทุนประกันสังคม มาตรา 33 เหลือ 2% ที่กำลังจะสิ้นสุดในสิ้นปีนี้ออกไปอีกระยะหนึ่ง และคงการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะต้องจ่ายในปีหน้าไว้ที่ 10% จะช่วยลดความเดือดร้อนลงได้บ้าง พร้อมกันนี้ยังอยากได้ความชัดเจนถึงการปรับลดเวลาการกักตัว 14 วัน ว่าทำได้หรือไม่
นายโชคดี ซิศาลสิงห์ หัวหน้าสายงานกลุ่มโรงแรม 1 แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWCกล่าวว่า ตอนนี้โรงแรมที่ลงทุนทำเป็นสถานที่กักกันทางเลือกของรัฐ(ASQ) มีลูกค้าเข้ามาพักจำนวนน้อยมาก ไม่คุ้มเงินที่ลงทุนทำระบบพื้น แอร์ วงจรปิด ส่วนลูกค้าทั่วไปเมื่อทราบว่าเป็น ASQ ก็จะไม่เข้ามาใช้บริหารเลย จึงเสนอให้รัฐสนับสนุนการจัดประชุมสัมมนาเพื่อให้โรงแรมได้มีสภาพคล่อง
ขณะที่นายรุ่งเรือง วิโรจน์ชีวัน หัวหน้าสายงานกลุ่มโรงแรม 2 AWC กล่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาในไทยยังมีปัญหาเรื่องการออกใบอนุญาติเดินทางเข้าประเทศ(COE)จากกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้โรงแรมเสียนักท่องเที่ยวกรุ๊ปใหญ่ 100 ห้องในชั่วข้ามคืน

ด้านนายพิพัฒน์ กล่าวว่า จะนำข้อเสนอทั้งหมดไปพิจารณาและได้ขอให้แต่ละโรงแรมประสานลูกค้าประจำของประเทศไทยเพื่อนำกลุ่มนี้เข้ามาก่อน ส่วนเรื่องตั้งกองทุนขึ้นมาดูแลนายกรัฐมนตรีได้สั่งในศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ(ศบศ.)ให้ไปผลักดันเรื่องนี้ออกมา ซึ่งอาจใช้วงเงิน 50,000 – 100,000 ล้านบาท มาช่วยเหลือเอกชน และเอสเอ็มอีที่เดือดร้อนได้อย่างไรบ้าง และในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. วันที่ 18 พ.ย.นี้ จะเสนอผ่อนปรนการกักตัว 14 วันโดยจะเตรียมเปิดให้ผู้กักตัวสามารถอยู่ในพื้นที่จำกัด(Area Quarantine)ได้ เช่น โรงแรมที่มีพื้นที่ติดทะเล ก็ให้ออกมาเดินชายหาด หรืออาบแดดได้ ถ้า ศบค.อนุมัติ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกกักตัวอยู่แต่ในห้องแล้ว
“ผมทราบดีว่า ท่านอยู่ได้ ผมก็อยู่ได้ ท่านอยู่ไม่ได้ รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ ผมก็มาจากภาคธุรกิจ ทราบดีว่าปีนี้หนักกว่าวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เยอะ ขออย่าคิดว่ามาเจอกันแล้วไม่ได้อะไร และหากที่สุดแล้ว ผมทำอะไรไม่ได้ ผมจะถือธงนำพวกท่านไปพบนายกรัฐมนตรี แต่ไม่อยากให้ถึงจุดนั้น เพราะคงหายใจไม่ออกแล้ว ตอนนี้ต้องทำความเข้าใจกับคนไทยว่าโควิดรักษาได้ แต่เรากำลังถูกผีโควิดหลอก ทั้งที่เสียชีวิตน้อยกว่าไข้เลือดออก”