

- “จุรินทร์” เคาะงบ 1.4 พันล้านบาท ลุยแก้ปัญหาใน 26 จังหวัด
- จ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกร เป็นค่าทำลายมันเริ่มพ.ย 63-ก.ย. 64
- พร้อมสั่งคุมเข้มลักลอบนำเข้า หวั่นฉุดราคามันสดในประเทศร่วง
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) ว่า ได้หารือถึงมาตรการและแนวทางแก้ปัญหาโรคใบด่างระบาดในมันสำปะหลังของไทย และกำลังรุนแรงขึ้น เพราะการระบาดเพิ่มเป็น 26 จังหวัด จากเดิม 22 จังหวัดทั่วประเทศ มีพื้นที่ได้รับความเสียหายกว่า 320,000 ไร่ จึงต้องเร่งป้องกันไม่ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยจะจ่ายเงินชดเชยให้กับเกษตรกรที่ทำลายมันสำปะหลังติดโรค ครอบคลุมเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรทุกราย และจะแจกท่อนพันธุ์ที่มีคุณภาพ ทนทานและปลอดโรคให้เกษตรกร ใช้งบ 1,400 ล้านบาท เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนพ.ย.63-30 ก.ย.64
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร เร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร ที่ทำลายมันสำปะหลังติดโรคใบด่างไปแล้ว ให้ใช้พันธุ์มันสำปะหลังที่มีคุณภาพ และซื้อท่อนพันธุ์ที่ได้รับการรับรอง อย่าหลงเชื่อผู้ขายบางรายที่ขายท่อนพันธุ์ไม่มีคุณภาพ เพราะจากการตรวจสอบพบว่า ในบางพื้นที่มีการหลอกขายท่อนพันธุ์ที่ไม่มีคุณภาพทำให้ได้ผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศเข้มงวดดูแลการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า จนทำให้ราคามันสำปะหลังในประเทศตกต่ำ โดยให้ตรวจสอบทั้งการนำเข้ามันเส้น ณ จุดผ่านแดนต่างๆ

พร้อมกันนั้น ยังเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลการดำเนินการบริหารจัดการมันสำปะหลังระดับจังหวัดสามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้ตลอดอายุของ นบมส. ไม่จำกัดเฉพาะปีการผลิต 62/63 เพื่อให้การดูแลมันสำปะหลังมีความต่อเนื่อง ทั้งการดูแลราคา การปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ไม่เช่นนั้น จะต้องออกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ทุกปี
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ล่าสุด โรคใบด่างระบาด ทำให้พื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังเสียหายแล้ว326,274.25 ไร่ ใน 26 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ นครราชสีมานครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ มหาสารคาม ยโสธร ระยอง ลพบุรี ศรีสะเกษ สระแก้วสระบุรี สุพรรณบุรี สุรินทร์ อำนาจเจริญ อุทัยธานี และอุบลราชธานี โดยจ.นครราชสีมา เสียหายมากที่สุด ถึง242,254.25 ไร่ เพราะเป็นแหล่งเพาะปลูกใหญ่ที่สุด รองลงมา คือ สระแก้ว 29,174.50 ไร่ บุรีรัมย์ 26,297 ไร่ และปราจีนบุรี 9,890.50 ไร่