นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง สำรวจเสียงประชาชน ต่อ “บุ๋ม ปนัดดา” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินการเก็บข้อมูลแบบผสมผสาน (Mixed Method) ทั้งการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ การลงพื้นที่ และการเก็บข้อมูลในโลกโซเชียลทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในการสำรวจข้อมูล วิเคราะห์และประมวลผล จำนวน 1,479 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 3 – 6 มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้เมื่อถามถึง ความพอใจต่อผลงานของ “บุ๋ม ปนัดดา” ที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม โดยที่พอใจค่อนข้างมาก ถึงมากที่สุด พบว่า ส่วนใหญ่หรือ 95.9% ระบุการรณรงค์ ความปลอดภัยให้เด็ก และ สตรี รองลงมาคือ 94.1% ระบุ รณรงค์คดีข่มขืนให้ประหารชีวิต 93.5% ระบุ ร่วมเป็นจิตอาสา ทำดีด้วยหัวใจ 88.8% ระบุ จัดตั้ง องค์กรทำดี ร่วมกับ คนบันเทิง และ 85.3% ระบุทูตวัฒนธรรมและท่องเที่ยว ตามลำดับ
นอกจากนี้ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่ หรือ 88.0% ระบุความพอใจต่อ ส.ส.หญิงที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมว่า ยังไม่มีในขณะที่ 12.0% ระบุว่า มีที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่ หรือ 98.4% ระบุ ความใสซื่อเป็นผู้หญิงน้ำดี _ทำประโยชน์เพื่อสังคมของบุ๋ม ในขณะที่ 1.6% ระบุไม่ใช่ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือ 59.9% อยากสนับสนุนให้ บุ๋ม เป็น ส.ส. และรองลงไปคือ เป็น คนคอยอบรม ส.ส.หญิงให้เป็น ส.ส.น้ำดี 28.8% เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคม 17.3% เป็นรัฐมนตรี14.9% และ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง 7.2%
ที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือ จุดยืนการเมืองของประชาชนคนออนไลน์ พบว่า กลุ่มคนเคยเลือกพรรคการเมือง ในช่วงเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่เลือกพรรคพลังประชารัฐ เหลือสนับสนุนรัฐบาล เกินครึ่งเล็กน้อย คือ เหลืออยู่ 54.9% และไม่สนับสนุนรัฐบาล 25.5% เป็นพลังเงียบ 19.6% ส่วนคนเคยเลือกพรรคอื่น ๆ เช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยพรรคชาติไทยพัฒนา เหลือสนับสนุนรัฐบาลอยู่ 4.7% แต่ไปอยู่กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล 58.7% และพลังเงียบ 36.6%
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า กรณีของ “บุ๋ม ปนัดดา” ถ้าลงเลือกตั้งน่าจะได้รับเลือกเป็น ส.ส. ถ้าขึ้นเป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่อในอันดับแรก แต่ถ้าจะให้พรรคนั้นชนะจัดตั้งรัฐบาลได้น่าจะอยู่ในอันดับที่ 9 ส่วนสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ส่งผลทำให้คนในโลกออนไลน์มีจุดยืนทางการเมืองที่น่าจะหนาวและหวาดเสียว เพราะคนเคยเลือกพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ กระจายตัวออกไปอยู่ในกลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลและพลังเงียบ
ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองว่า จะปล่อยไว้แบบนี้หรือ จะรอให้สถานการณ์สุกงอมเหมือนที่เคยปล่อยๆ กันมา แต่ครั้งนี้ ถ้าไม่ใช้นวัตกรรมทางการเมือง และคนรุ่นใหม่เข้ามากอบกู้สถานการณ์ คงจะยากที่จะผ่านพ้นอารมณ์ของประชาชนที่เคลือบแคลงสงสัย และ กำลังขุ่นมัวกับความชอบธรรมของรัฐบาล