ดาวโจนส์ปิดตลาดลบ 109 จุด วิตกโควิด-19ระบาดรอบ2



  • ตลาดกังวลการระบาดรอบ2สร้างผลกระทบรุนแรงกว่ารอบแรก
  • แห่ขายหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
  • นักลงทุนจับตาสงครามการค้ารอบใหม่จีน-สหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,221.99 จุด ลดลง 109.33 จุด หรือ -0.45% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดทรงตัวที่ 2,930.32 จุด เพิ่มขึ้น 0.52 จุด หรือ +0.02% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดในแดนบวกที่ 9,192.34 จุด เพิ่มขึ้น 71.02 จุด หรือ +0.78%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดติดลบ ท่ามกลางความวิตกกังวลที่ว่า การที่หลายประเทศเปิดเศรษฐกิจเร็วเกินไปอาจทำให้ไวรัสโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดเป็นรอบที่ 2 โดยรายงานระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจีน เกาหลีใต้ และเยอรมนีได้ดีดตัวขึ้นอีกครั้ง หลังรัฐบาลประกาศคลายมาตรการล็อกดาวน์

อย่างไรก็ตาม อีกหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐ ได้กลับมาเปิดเมืองอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง โดยสหรัฐได้เริ่มเปิดให้นั่งทานในร้านอาการ ขณะที่ญี่ปุ่นอาจประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินในสัปดาห์นี้ เช่นเดียวกับนิวซีแลนด์อาจผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในวันพฤหัสบดี ส่วนอังกฤษได้เสนอแผนที่จะเปิดเศรษฐกิจแล้ว และร้านค้าในฝรั่งเศสได้กลับมาเปิดบริการเมื่อวานนี้

มาร์ค แซนดี หัวหน้านักวิเคราะห์จากมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เตือนว่า สหรัฐมีความเสี่ยงที่โควิด-19 จะกลับมาระบาดหนักรอบที่ 2 เนื่องจากการเปิดเศรษฐกิจเร็วเกินไปทำให้ประชาชนกลับมารวมตัวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ หากเกิดการแพร่ระบาดรอบที่ 2 จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจให้เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ช่วงนี้ยังไม่มีวัคซีนรักษาโรค

ทั้งนี้ ความวิตกดังกล่าวทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบิน กลุ่มเรือสำราญ และกลุ่มธุรกิจกาสิโน โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 5.7% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน ร่วงลง 3.12% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ลบ 0.4% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ร่วงลง 4.05% หุ้นเจ็ทบลู ร่วงลง 5.8%

ส่วนหุ้นในกลุ่มเรือสำราญและกาสิโนที่ดิ่งลงเมื่อคืนนี้ หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ร่วงลง 4.5% และหุ้นนอร์เวย์เจียน ครูซ ไลน์ โฮลดิ้ง ร่วงลง 5.5% หุ้นเอ็มจีเอ็ม รีสอร์ท อินเตอร์เนชันแนล ดิ่งลง 6.06% หุ้นลาเวกัส แซนด์ส คอร์ป ร่วงลง 4.8%

หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ผู้ผลิตเครื่องกีฬาและเสื้อผ้ากีฬารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 9.36% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 34 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 1 ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขาดทุนเพียง 19 เซนต์/หุ้น

หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นเครือโรงแรมขนาดใหญ่ระดับโลก ร่วงลง 5.58% หลังจากประกาศผลประกอบการที่แย่ลง เนื่องจากยอดจองห้องพักที่ลดลงจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้โรงแรมถึง 1 ใน 4 ของทางบริษัทต้องปิดการดำเนินงานในช่วงดังกล่าว

หุ้น Chesapeake Energy Corp ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ของสหรัฐ ทรุดตัวลง 12.36% หลังจากบริษัทกำลังพิจารณาเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ท่ามกลางหนี้สินจำนวนมาก หลังเผชิญกับราคาน้ำมันที่ตกต่ำอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มธุรกิจสุขภาพดีดตัวขึ้น โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.57% หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ เพิ่มขึ้น 1.14% หุ้นอเมซอนดอทคอม บวก 1.24% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1.12% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ บวก 0.77%

หุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 2.4% หุ้น Gilead Sciences ทะยานขึ้น 4.27% หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้น 2%

นักลงทุนจับตาสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด โดยนายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาการค้าประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐควรตอบโต้จีนกรณีที่จีนเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งสร้างความเสียหายไปทั้งโลก และควรมีการเรียกร้องความเสียหายจากจีน

“เราได้ใช้จ่ายเงินเกือบ 10 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อต่อสู้กับไวรัสดังกล่าว”

ขณะเดียวกัน ผู้แทนการค้าสหรัฐและจีนได้หารือกันทางโทรศัพท์เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเฟสแรก ขโดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงจะส่งเสริมการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวมากขึ้น

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขากำลังพิจารณาว่าจะยุติข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนหรือไม่ ขณะที่เขากล่าวหาว่าจีนเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

S&P Global ระบุในวันนี้ว่า รัฐบาลทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ