ครม.เศรษฐกิจยอมรับเศรษฐกิจปีนี้เหนื่อยหนัก ปรับเป้าจีดีพีปี 2563 ลง



  • เผชิญวิกฤติเพิ่ม 3 ด้าน
  • งบประมาณ 2563 ล่าช้า ภาวะภัยแล้ง
  • การระบาดของไวรัสโคโรน่า
  • อนุมัติมาตรการพยุงท่องเที่ยวไทย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ(ครม.เศรษฐกิจ) ตัดสินใจที่จะปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ลงจากเดิมที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.หรือสภาพัฒน์)คาดไว้ว่าจะขยายตัว 2.7-3.7% โดยมีค่ากลางที่ 3.2% เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา ได้แก่ การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2563 ที่ล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้งบลงทุนกว่า 600,000 ล้านบาทไม่สามารถเดินได้ ขณะเดียวกัน ได้มีสถานการณ์ภัยแล้ง และมีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างน้อย 3-6 เดือน ฉะนั้น เพื่อเป็นการประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้เป็นไปตามเป้าหมาย จึงจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ ซึ่งจะเสนอเข้าที่ประชุมครม.เศรษฐกิจในครั้งหน้า

“ทางสภาพัฒน์จะประกาศตัวเลขที่ประมาณการใหม่ในวันที่ 17 ก.พ.นี้ ขณะเดียวกันจะแถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีไตรมาส 4 ของปี 2562 ซึ่งครม.เศรษฐกิจ ได้นำดัชนีหลายตัวมาดูพบว่าเศรษฐกิจแย่ลง ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และงบลงทุนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ฉะนั้นตัวเลขที่ออกมาจะแย่ลงเล็กน้อย ดังนั้น ทางทีมเลขาครม.เศรษฐกิจ และหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจทั้งหมด จะร่วมกันจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ เพื่อรองรับปัญหาที่กำลังลุกลามเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ตามปกติเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยปกติจะใช้เวลา 2-3 ปี จะเข้าสู่ภาวะปกติ ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางภาวะนี้มามากกว่า 18 เดือนแล้ว เริ่มต้นจากกลางปี 2561 เป็นต้นมา ตอนนี้เกินครึ่งทางแล้ว ซึ่งทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ประเมินก่อนหน้านี้ว่าจะเริ่มดีขึ้น แต่เมื่อเกิดปัญหาของโรคระบาดไวรัสโคโรนาขึ้นมาก็เป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจโลกอาจขยายตัวช้ายืดเยื้อออกไปอีก

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ครม.เศรษฐกิจ ได้เห็นชอบมาตรการพยุงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ตั้งแต่เดือนก.พ.-เม.ย.นี้ 4 แนวทาง คือ 1.สื่อสารทำความเข้าใจกับคนไทยและนักท่องเที่ยวโดยให้ความสำคัญกับคนไทยเป็นอันดับแรก และแสดงความเห็นใจไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบ 2.เฝ้าระวัง และอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว โดยยกระดับศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว เป็นวันสต๊อปเซอร์วิส

3.เยียวยาธุรกิจท่องเที่ยว โดยกระทรวงการคลังจะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)จัดวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน เลื่อนการยื่นภาษีประจำปีของธุรกิจท่องเที่ยว และการส่งเสริมให้เอกชนจัดสัมมนาในประเทศจะนำค่าใช้จ่ายมาหักภาษีได้ 2 เท่า ขณะที่กระทรวงคมนาคมจะเสนอลดค่าธรรมเนียมการขึ้น-ลงอากาศยาน และกระทรวงแรงงานรับไปพิจารณาเลื่อนการจ่ายเงินประกันสังคมด้วย4. ททท.ได้ขอความร่วมมือไปยังธุรกิจโรงแรม และบริษัททัวร์ให้นักท่องเที่ยวสามารถแจ้งเลื่อนการเดินทางโดยที่ไม่มีค่าใช้จ่าย และทำแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งหาตลาดต่างประเทศใหม่มาทดแทนจีน การส่งเสริมคนไทยเที่ยวในประเทศ

“โรคระบาดในครั้งนี้จะกระทบกับการท่องเที่ยวโลก ประเทศไทยเคยเผชิญการระบาดของโรคซาร์มาก่อนในปี 2546 ในครั้งนั้นทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง 60% และนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 30% และใช้เวลาประมาณ 5 เดือนเหตุการณ์จึงกลับเข้าสู่ภาวะปกติและอุตสาหกรรมค่อยๆฟื้นตัวขึ้นได้ ส่วนครั้งนี้เหตุการณ์ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคท่องเที่ยวได้ชัดเจน ในเบื้องต้น ทาง 5 สำนักงานของ ททท.ที่อยู่ในจีนประเมินว่านักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้ามาในไทยจนถึงเดือน เม.ย.จะลดลง 80% หรือลดลง 2.32 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย98,000 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตาม ททท.ยืนยันครม.เศรษฐกิจ ว่า ตามที่ ททท.ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ไว้ 40.8 ล้านคน แต่เป้าที่รับบาลให้คือ 41.8 ล้านคน ในขณะนี้เพิ่งผ่านไป 1 เดือน ททท.จะยังไม่ขอปรับเป้า แต่ยืนยันว่าจะดูแลไม่ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าปีที่ผ่านมา 39.8 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติในปี 2563 ไม่น้อยกว่า 2.22 ล้านบาท