สำนักสลากตั้งธ.ก.ส.รับขึ้นเงินรางวัลทั่วไทย



  • เริ่มงวดแรก มี.ค.นี้ ยกเว้นรางวัลที่
  • หักค่าะรรมเนียมน้อยกว่าแม่ค้าที่รับซื้อสลาก
  • จับมิจฉาชีพปลอมคิวอาร์โค้ดรางวัลที่1

นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยภายหลัง ลงนาม “สัญญาให้บริการจ่ายเงินรางวัล” กับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ว่า ขณะนี้ ธ.ก.ส.ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนรับขึ้นเงินรางวัลเป็นแห่งแรกของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.63 โดยผู้ถูกรางวัลสลากสามารถมาขึ้นเงินรางวัลทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 ทั้งนี้ ผู้มาขึ้นรางวัลที่ ธ.ก.ส.จะเสียค่าธรรมเนียมเพียง 1% ของมูลค่ารางวัล และเสียค่าอากรแสตมป์ หรือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามที่กฎหมายกำหนด ในอัตรา 0.5 – 1% ของมูลค่าเงินรางวัล ตามประเภทสลาก  ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะจ่ายเงินรางวัลเฉพาะงวดปัจจุบันที่ออกรางวัลเพียงงวดเดียว อาทิ งวดวันที่ 1 มี.ค. เริ่มจ่ายเงินรางวัลในเวลา 18.00 น.เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 16 มี.ค.เวลา 12.00 น.เป็นต้น  โดยไม่มีการขึ้นเงินสลากให้ย้อนหลัง โดย ธ.ก.ส.จะเปิดรับขึ้นเงินรางวัล ผ่านสาขาทั่วประเทศ 1,272 แห่ง  ในจำนวนนี้มีสาขาในห้างที่รับขึ้นรางวัล 10 แห่ง   

พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า นอกจากช่วยให้ได้รับความสะดวกในการขึ้นรางวัล และลดรายจ่ายค่าขึ้นรางวัลจากพ่อค้ารับซื้อรางวัลแล้ว ยังลดปัญหาการนำสลากฯ ปลอมมาขึ้นรางวัลด้วย เนื่องจากสาขา ธ.ก.ส.มีการตรวจสอบสลากด้วยระบบเดียวกับสำนักงานสลาก และเจ้าหน้าที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้ว ทั้งนี้ แต่ละงวดมีสลากถูกรางวัลราว  1.4 ล้านใบ คิดเป็นเงินรางวัลรวมกว่า 4,200 ล้านบาท คาดว่าจะมีผู้ขึ้นเงินรางวัลกับธ.ก.ส.มาก เพราะคิดค่าธรรมเนียมถูกกว่าร้านรับขึ้นเงินรางวัลที่คิดค่า 2-3%  

พ.ต.อ.บุญส่ง ยังกล่าวว่า นอกจากนี้ ฝากเตือนไปยังประชาชนผู้ถูกรางวัลว่า ไม่ควรโชว์สลากให้ผู้อื่นรับทราบ หากจะไปแจ้งความ สามารถทำได้ แต่ขอให้เก็บสลากฯไว้เป็นความลับ เนื่องจากสำนักงานสลากฯ ตรวจสอบพบว่ามีการปลอมสลากที่นำมาโชว์ถูกรางวัลและนำมาขึ้นเงินกับสำนักงานสลากฯ ด้วยการปลอมคิวอาร์โค้ดของผู้ถูกรางวัลที่ 1 ซึ่งผู้ที่ปลอมสลากฯ ได้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้ว โดยพบการปลอมสลากทั้งถ่ายเอกสาร การนำสลากที่ไม่ถูกรางวัลมาแก้ไขตัวเลขให้ถูกรางวัล ผู้กระทำหรือผู้นำสลากปลอมแปลงหรือแก้ไขตัวเลขสลากฯ มีความผิดอาญา ที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-100 ,000 บาท”