

- มหาวิทยาลัยหอการค้า ชี้ดัชนีเอสเอ็มอีไตรมาสสุดท้ายปี 62 ปรับตัวลดลง
- แต่ยังหวังไตรมาสแรกปี 63พลิกกลับมาโต
- หลังมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีเริ่มเห็นผล
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.8% ซึ่งเป็นการเติบโตน้อยกว่า 4% ในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ในปี 2561 ที่เริ่มมีสงครามการค้าสหรัฐ-จีนซึ่งส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยซบเซามาโดยตลอด อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 1 ปี 63 วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) คาดหวังว่าดัชนีจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 41.2 จากเดิมอยู่ที่ 40.8 จุด และภาพรวมธุรกิจเอสเอ็มอีจะเติบโตอยู่ในระดับ 3.4% หลังจากสงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปีนี้ต่อเศรษฐกิจไทยยังมีอยู่มาก ทั้งปัญหาเจอภัยแล้ง ฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5) โรคติดต่อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งคาดว่าจะทำให้สภาพคล่องหายไปจากระบบราว 7,000-10,000 ล้านบาท รวมถึงหากมีการยุบสภา ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถเบิกเงินงบประมาณปี 2563 ออกมาใช้ได้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอยู่ที่ 2.5% เท่านั้น
“หากงบประมาณปี 2563 ออกล่าช้าไปอีก 3 เดือน คือ เดือนพ.ค.63 จากเดิมจะต้องออกเดือนก.พ.นี้ รัฐบาลอาจจะประคองเศรษฐกิจไปได้ แต่จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าเดิม เพราะกว่าเงินจะเข้าสู่ระบบก็จะอยู่ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 63 ”
ส่วนดัชนีสถานการณ์ธุรกิจเอสเอ็มอี ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ SMEs ประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2562 จาก 1,233 ตัวอย่างทั่วประเทศ ว่า ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ ไตรมาส 4 ปี 2562 อยู่ที่ 40.8 ปรับตัวลดลง 0.7 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากธุรกิจเอสเอ็มอีขาดสภาพคล่อง ซึ่งทำให้ยอดขายลดลงตามไปด้วย
ขณะที่ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ระดับ 47.2 จุด ปรับตัวลดลง 0.6 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากเอสเอ็มอีต้องแบกรักภาระต้นทุนที่สูง ทำให้ต้องตั้งราคาสินค้าสูงตามไปด้วย ส่วนในไตรมาส 1ปี 63 คาดว่าจะขยับขึ้นอยู่ที่ 47.9 และดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ ไตรมาสที่ 4 ปี 2562 อยู่ที่ระดับ 50.4 จุดปรับตัวลดลง 0.7จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนไตรมาส 1 ปี 2563 คาดว่าจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 50.8 จุด
“จาก 3 ดัชนีข้างต้น คาดว่าดัชนีความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2562 อยู่ที่ระดับ 46.1 ปรับตัวลดลง 0.8 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 46.6 ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมเอสเอ็มอีของภาครัฐที่ออกมาจำนวน 38,000 ล้านบาทเริ่มเห็นผล ”
ส่วนเรื่องที่จะนำพระราชกำหนด(พรก.) กู้เงินมาใช้หากงบประมาณปี 2563 ออกล่าช้านั้น มองว่ายังไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้พรก. กู้เงิน เพราะการจะใช้พรก.กู้เงินได้จะต้องดูกฎหมายงบประมาณควบคู่กันไปด้วย เพราะงบประมาณแต่ละปีจะถูกกำหนดไว้แล้ว
นายสมานพงษ์ เกลี้ยงลํายอง รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า ในการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ธพว. มีนโยบายหลักในการเติมความรู้คู่ทุนที่ให้สินเชื่อดอกเบี้ยถูก และเสริมด้วยการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปด้วย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวอยู่รอดได้ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น จัดอบรมการทำตลาดออนไลน์ บริหารจัดการต้นทุนธุรกิจ เป็นต้น