“สมคิด”ใช้ยาแรงกระตุ้นเศรษฐ3ชายแดนใต้



  • สั่งคลังศึกษาคืนภาษีเงินลงทุน100%
  • นักธุรกิจเสนอเชื่อมรถไฟไทย-มาเลเซีย
  • หลังชายแดนใต้สถานการณ์ดีขึ้น

นายกันต์พงษ์ ลิ่มกาญจนา ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภาย หลังการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดนภายหลังการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดชายแดนใต้ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานว่า เอกชนภาคใต้ได้เสนอให้รัฐบาลเร่งพัฒนา 3 ชายแดนจังหวัดภาค ใต้ประกอบด้วยจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดดีขึ้นแล้ว โดยต้องการพัฒนาอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ที่มีชายแดนกับประเทศมาเลเซียเพื่อส่งเสริมทางด้านการค้า การลงทุน การ เกษตรและอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเส้นทางรถไฟที่เชื่อมชายแดนใต้กับประเทศมาเลเซีย

ทั้งนี้ ในประชุมนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเสนอให้ประชุมใช้ยาแรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 จังหวัดชาย แดนใต้ เพราะที่ผ่านมา แม้รัฐบาลจะมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) รวมถึงมาตรการภาษีและวงเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำแล้วตก็ตาม แต่เศรษฐกิจ 3 จังหวัดชายแดนก็ยังมีการลงทุนน้อย โดยนายสมคิด มีแนวคิดที่จะคืนภาษีให้แก่นักลงทุนที่นำเงินมาลงทุนทั้งหมด เช่น ลงทุน 1,000 ล้านบาท หากปีนี้ เสียภาษี 100 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีโดยให้หักภาษีไป 100 ล้านบาท และปีถนัดๆ ไปจนครบ 1,000 ล้านบาท โดยกำชับให้กระทรวงการคลังไปศึกษาแนวทางดังกล่าว เพิ่มเติมว่า จะสามารถทำได้หรือไม่

ขณะที่ นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาค ใต้ หอการค้าไทย กล่าวว่า ได้เสนอที่ประชุมในเรื่องของการก่อเส้นทางคมนาคม ได้ขอให้รัฐบาลเร่งสร้างเส้นรถไฟเชื่อมสถานีสุไหงโก-ลก กับสถานีปาเสมัส รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันมีเส้นทางเดินรถไฟอยู่แล้ว แต่ถูกปิดบริการนานกว่า 20 ปีที่แล้ว ซึ่งหากเปิดใช้เส้นทางรถไฟสายนี้ได้ จะช่วยส่งเสริมทางด้านการขนส่งสินค้าและขนส่งคนได้เป็นจำนวนมาก เพราะเส้นทางรถไฟดังกล่าว หากเชื่อมกับปาเสมัสแล้วจะทำให้การขนส่ง และการเดินทางจากไทยไปมาเล เซียไปถึงสิงคโปร์ได้ ซึ่งจะทำให้การลงทุน การขนส่งและการท่องเที่ยวมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเป็นหลายเท่าตัว”

นอกจากนี้ ยังเสนอให้รัฐบาล เร่งสร้างเส้นทางคู่จากสถานีสุไหงโก-ลกเชื่อมสถานีหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อไปเชื่อมกันเส้นทางรถไฟชุมพร-กรุงเทพฯ ซึ่งหากก่อสร้างตามแผนการเดิมต้องสร้างรถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-ชุมพร ก่อน หลังจากนั้นจะสร้างเส้นรถไฟทางคู่ชุมพรเชื่อมหาดใหญ่ ถึงจะเริ่มก่อสร้างเส้นทางสุไหงโก-ลกเชื่อมหาดใหญ่ต้องใช้เวลานาน 7 ปีถึงก่อ สร้างได้ ดังนั้น ภาคเอกชนจึงเสนอให้รัฐบาล ก่อสร้างเส้นทางแบบย้อนกลับจากใต้สุดของประเทศขึ้นไปเหนือ โดยก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่จากสถานีสุไหงโก-ลกเชื่มไปสถานีหาดใหญ่ก่อน โดยมีวงเงินลงทุน 20,000-30,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ เอกชนยังได้เสนอให้รัฐบาลช่วยเร่งรัดโครงการพัฒนาสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งที่2 ซึ่งเชื่อมพื้นที่อ.สุไหง-โกลกกับประเทศมาเลเซีย มูลค่า 4,000 ล้านบาท เป็นการร่วมกันลงทุนสัดส่วนเท่ากันระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งโครงการนี้ฝ่ายไทยได้ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อส่งแบบละรายละเอียดให้ทางมาเลเซียแล้วยังไม่มีการตอบรับ จึงฝากให้นายก รัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศขอเจรจาเรื่องนี้กับทางมาเลเซียต่อไป

ด้านนายตติยะ ฉิมพาลี ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปัตตานี ในฐานะประธานสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนจากจีน ตลอดจน นักลงทุนจาก จังหวัดสงขลา จังหวดสตูล เข้ามาลงทุนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เสียภาษีนิติบุคคลในอัตรา 3% ต่ำกว่าพื้นที่อื่นทั่วประเทศที่เสียในอัตรา 20% ทำให้สามารถลงทุนทางธุรกิจและได้ทุนคืนภายในไม่เกิน 5 ปี ภาคเอกชนจึงเสนอรัฐบาลพิจารณาขยายมาตรการเก็บ ภาษีนิติบุคคลในอัตรา 3% ที่จะสิ้นสุดลงในปี 2563 ออกไปอีก 5 ปี พร้อมทั้งขอให้ขยาย โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟโลน์) อัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี ที่จะสิ้นสุดลงในปี 2565 ออกไปอีก 5 ปีเพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนในอนาคตได้

ขณะเดียวกัน ขอให้รัฐบาลพิจารณาแก้ผังเมือง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากพื้นที่ที่เป็นสีม่วงอ่อนให้เป็นสีม่วงเข้ม เพื่อให้ขยายพื้นที่ สำหรับทำอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและอุตสาหกรรมอื่นๆได้ เพราะการลงทุนในปัจจุบันนี้ ครอบคลุมพื้นที่สีม่วงเข้มไปหมดแล้วทำให้ไม่จงใจนักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มเติม เช่น ที่จ.ปัตตานีในพื้นที่เมืองต้นแบบหนองจิก ซึ่งทำเลครอบคลุมพื้นที่สีม่วงเข้มถูกนักลงทุนลงไปเต็มพื้นที่แล้ว ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการมาลงทุนในเขตอุตสาหกรรมบานา จ.ปัตตานี ที่พื้นที่ 50%ยังเป็นสีม่วงอ่อน ไม่เป็นที่ต้องการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ผู้ว่าราชการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นำเรื่องนี้ไปพิจารณา

“ อีกประเด็นสำคัญที่เสนอขอต่อรัฐบาลคือ การก่อสร้างท่าเรือ ขนาด 5,000 ตันกรอส ที่ปากแม่น้ำปัตตานี เพื่อ เป็นท่าเรือสำคัญสำหรับส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปยังต่างประเทศ ซึ่งมีการจัดทำงบประมาณศึกษาไว้แล้วจึงขอเร่งรัดให้ก่อสร้างให้เกิดเป็นรูปธรรมภายใน 3 ปี ไม่เช่นนั้นเมืองต้นแบบมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะภาคอุตสาหกรรมจะ ขยายไปมากกว่านี้ไม่ได้เพราะปัจจุบันเวลาจะส่งออกต้องไปอาศัยท่าเรือที่จังหวัดสงขลา ส่วน การลงทุนจะเป็นรัฐบาลลงทุนหรือเปิดให้ภาคเอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบรัฐร่วมลงทุนเอกชน หรือพีพีพี ก็ได้ขอเพียงให้เกิดความชัดเจน”

นอกจากนี้ ได้ขอลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเฉพาะในส่วนนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้กระทรวงแรงงานรับไปพิจารณา โดยที่มีข้อเสนอในเรื่องนี้เนื่องจาก เป็นพื้นที่เฉพาะกิจจึงน่าจะมีมาตรการพิเศษช่วยเหลือบ้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมฯ ภาคเอกชนยังได้มีการเสนอการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 18,000 ไร่ โดยต้องการจะปลูกทดแทนยางพารา และปลูกในพื้นที่ว่างเปล่า เพื่อสนับสนุนกำลังการผลิตของโรงหีบน้ำมันปาล์มที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ที่มีผลผลิตไม่เพียงพอในปัจจุบัน แต่นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงว่าอาจจะกระทบกับราคาปาล์มในอนาคต โดยนายกรัฐมนตรีย้อนถามผู้เสนอว่า คุณแน่ใจหรือที่จะขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันมากขนาดนั้น เพราะเมื่อกลางปีก่อนราคาปาล์มน้ำมันยังราคาตกอยู่เลย ซึ่งเรื่องนี้ขอให้ดูความเหมาะสมให้ดีก่อนที่จะดำเนินการ.