สถาบันอาหารตั้งเป้าส่งออกอาหารปีนี้ 1 ล้านล้านบาท



  • เผยปี62ส่งออก1.02ล้านล้านบาท
  • ปลื้มสุดๆจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก
  • เผยสารพัดปัจจัยบวกเกื้อหนุน

นางอนงค์  ไพจิตรประภาภรณ์  ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า  ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอาหารของไทยลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยลดลง 2%โดย การใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 57.8% ลดลงจาก 58.7% ในปีก่อน  เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศที่อ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ  รายได้ครัวเรือนลดลง  และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับภาคการส่งออกที่หดตัวลงตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เงินบาทแข็งค่า และราคาส่งออกสินค้าอาหารที่ลดลงกระทบต่อรายได้เข้าประเทศ

สำหรับ การส่งออกอาหารของไทยเมื่อปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 1,025,500 ล้านบาท ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 401,300 ล้านบาท โดยสินค้าอาหารส่งออกหลัก 6 รายการ ที่มีมูลค่าลดลง ได้แก่ ข้าว (-22.0%) น้ำตาลทราย (-13.7%) ปลาทูน่ากระป๋อง (-6.0%) แป้งมันสำปะหลัง(-2.8%) กุ้ง (-9.2%) และสับปะรด (-15.7%) ส่วนสินค้า 4 รายการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไก่ (+0.8%) เครื่องปรุงรส (+4.0%) มะพร้าว (+3.8%) และอาหารพร้อมรับประทาน (+4.6%) ซึ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การแข็งค่าของเงินบาท และราคาอาหารโลกที่ปรับตัวลดลง เป็น 3 ปัจจัยหลักที่ฉุดมูลค่าส่งออกสินค้าอาหารไทยให้ลดต่ำลง

 “ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าประเทศจีนก้าวขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับที่ 1 ของไทยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แทนที่กลุ่มซีแอลเอ็มวี(กัมพูชา ลาว เมียนม่า เวียดนาม) โดยประเทศไทยส่งออกสินค้าอาหารไปจีนมูลค่า 150,749  ล้านบาท   คิดเป็นสัดส่วน 14.7% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมด     โดยมีสินค้าส่งออกหลักที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าผักและผลไม้  ไก่สดแช่แข็ง รวมถึงกุ้งแช่เย็นแช่แข็ง  โดยภาพรวมการค้าอาหารโลกปีที่ผ่านมา  มีมูลค่า 1.318 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ “

สำหรับแนวโน้มการส่งออกอาหารไทยปีนี้ คาดว่า จะมีมูลค่าส่งออกระหว่าง 1,022,610 – 1,061,000 ล้านบาท โดยมีโอกาสหดตัวลง 0.3 %จนถึงขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.5 % เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ และเงินบาทมีโอกาสเคลื่อนไหวได้ 2 ทิศทาง ภายใต้สมมติฐานค่าเงินบาทอยู่ระหว่าง 29.30 – 30.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกขยายตัวร้อยละ 3.4 % กลุ่มสินค้าที่คาดว่ามูลค่าส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าว(+0.5%) ไก่(+8.0%) ปลาทูน่ากระป๋อง(+6.3%) แป้งมันสำปะหลัง(+6.4%) กุ้ง(+4.2%) เครื่องปรุงรส(+7.5%) มะพร้าว(+6.0%) สับปะรด(+7.0%) และอาหารพร้อมรับประทาน(+5.5%) ส่วนที่คาดว่าจะลดลง คือ น้ำตาลทราย (-5.0%)

ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี นี้มีอาทิ เศรษฐกิจโลกจะ ค่อยๆ ฟื้นตัวจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ลดความตึงเครียดลง ,จีนมีความต้องการนำเข้าสินค้าอาหารจำพวกเนื้อสัตว์มากขึ้นหลังเกิดการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร ,มหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่กำลังจะจัดขึ้นที่ญี่ปุ่น จะทำให้เกิดความต้องการสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น , เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการได้รับแรงหนุนจากแผนงานรัฐบาล

ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบ ได้แก่ ต้นทุนการผลิตและการขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงาน หากสงครามระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ปะทุและ, ภัยแล้งจะกระทบทำให้ปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรวัตถุดิบในประเทศลดลง ราคาปรับตัวสูงขึ้น กระทบต้นทุนอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ,สินค้าอาหารของไทยบางรายการได้รับผลกระทบจากการถูกสหรัฐฯตัดGSP โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสำเร็จรูปจำพวกพาสต้า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เกี๊ยว เป็นต้น 5) ภัยคุกคามจากการขยายตัวของสินค้าอาหารที่ผลิตจากพืชทดแทนเนื้อสัตว์(plant-based food product) ที่มีต่ออุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และอาหารทะเล