“สมคิด”​มอบนโยบายกฟผ.เร่งดัน เศรษฐกิจฐานราก



  • ให้ศึกษาโครงสร้างค่าไฟฟ้า ลุยโรงไฟฟ้าชุมชน 
  • รุกธุรกิจรับยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี)  เร่งรัดลงทุนรับบาทแข็ง 
  • พร้อมเกาะติดความตึงเครียดตะวันออกกลางใกล้ชิด

 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ว่าได้สั่งการให้กฟผ.ดูแลค่าไฟฟ้าโดยเฉพาะในช่วงความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่ให้มีเพียงพอ ไม่ให้เกิดไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ และให้ได้ร่วมมือกับกระทรวงพลังงานดูแลเรื่องนี้ อย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันต้องการให้ดูแลค่าไฟฟ้าให้ถูกที่สุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดีนัก สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการรายเล็ก (เอสเอ็มอี) เพื่อลดค่าครองชีพและลดต้นทุนให้เอสเอ็มอี

 “ ค่าไฟฟ้าผันแปรอัติโนมัติ(เอฟที)ที่ขณะนี้ มีการตรึงค่าเอฟทีใน 4 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-เม.ย.)ไว้แล้ว แต่ก็อยากให้ดูแลให้เหมาะสมโดยเฉพาะประชาชน เพราะฐานะการเงินกฟผ.ก็มีความแข็งแกร่ง  ดังนั้น หากจำเป็นก็ควรหามาตรการช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับผู้มีรายได้น้อยและเอสเอ็มอีตัวเล็ก   และขณะนี้ค่าเงินบาทที่กำลังแข็งค่าผมก็ได้แนะนำให้ กฟผ.เร่งลงทุนอย่างเต็มที่ ในช่วงนี้โดยไม่ต้องรอช้า เพราะขณะนี้งบประมาณปี2563 ก็ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา ดังนั้น รัฐวิสาหกิจจึงถือเป็นเครื่องมือในการระดมการลงทุนช่วยรัฐบาล”

นายสมคิด กล่าวว่า ตนมั่นใจว่า กฟผ.ก็มีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวไปสุ่ธุรกิจแห่งอนาคต ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมที่จะขยายธุรกิจได้มากขึ้น  ซึ่งกฟผ.ได้รายงานว่า จากนี้ไปกฟผ.ได้มองถึงอนาคตในการทำธุรกิจในประเทศกลุ่ม CLMV(กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) ที่ขณะนี้กฟผ.มีความแข็งแรงมากและด้วยธุรกิจไฟฟ้าที่สามารถประยุกต์เทคโนโลยีไปสู่ผู้บริโภค ทำให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้  รวมถึงการมุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่กฟผ.ให้ความสำคัญทั้ง พลังงานทดแทน ยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) แบตเตอรี่ ซึ่งรถอีวี ถือเป็นอนาคตแต่หากขาดที่ชาร์จไฟฟ้าก็อาจก้าวไปได้ไม่ไกลนักจึงมอบให้กฟผ. หาผู้ร่วมทุน ที่จะรุกสู่ธุรกิจดังกล่าว

 ขณะเดียวกัน ก็กฟผ.มีความพร้อมที่จะดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในการยกระดับพี่น้องเกษตรกรให้มีรายได้จากการเข้าร่วมโครงการที่จะนำพืชเกษตรเหลือใช้ หรือการปลุกพืชพลังงานมาเป็นเชื้อเพลิงสร้างรายได้เพื่อทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มซึ่งจะร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธ.ก.ส.) ในการช่วยเหลือชุมชน เป็นต้น

 นายวิบูลย์  ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า  การลงทุนปี 2563 ของกฟผ.ได้เตรียมวงเงินไว้ 36,000 ล้านบาท ซึ่งตนก็จะเร่งรัดการลงทุนในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า ขณะที่ปี 2564 จะใช้เงินลงทุนรวม 40,000 ล้านบาท โดยการลงทุนทั้งหมดนี้ จะเป็นการลงทุนของสายส่งไฟฟ้า และปรับปรุง 2 โรงไฟฟ้า คือ โรงไฟฟ้านครใต้ และโรงไฟฟ้าบางปะกงที่  และยังมีวงเงินอีก 300,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าหลักอีก 8 แห่ง เพื่อให้สามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ(ซีโอดี) ระหว่างปี 2568-2572  ที่ต้องเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อขออนุมัติในเร็วๆนี้ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันที่ 10 ม.ค.นี้  จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.) เพื่อพิจารณาว่าจะใช้กลไกกองทุนน้ำมัน อย่างไรในการดูแลระดับราคาน้ำมันในช่วงภาวะตึงเครียดในตะวันออกกลาง