

- เดินหน้ามาตรการ “ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย”
- หวังต่อลมหายใจเอสเอ็มอีกว่า 142,000 ราย
- มั่นใจโครงการต่างๆ ช่วยเสริมสภาพคล่องธุรกิจได้
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ บสย. พร้อมดำเนินการมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 7 ม.ค. 2563 มีมติเห็นชอบมาตรการ “ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย”โดยให้ บสย. เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อให้มากขึ้น โดยบสย.มีวงเงินที่เตรียมไว้ 180,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีกว่า 142,000 ราย
อย่างไรก็ตาม บสย.ได้ปรับเงื่อนไขการค้ำประกัน เพื่อให้สถาบันการเงินเร่งปล่อยสินเชื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เอสเอ็มอีได้คล่องตัวขึ้น ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบสย. รวมถึงขยายระยะเวลาการค้ำประกันสินเชื่อในโครงการเดิม คือ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ 5 – ระยะที่ 7 ออกไปอีก 5 ปี ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มแรก คือ กลุ่มผู้ประกอบการที่กำลังประสบปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อ ประกอบด้วย โครงการค้ำประกัน บสย. SMEs สร้างไทย วงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 60,000 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ จำนวน 84,000 ราย ค้ำประกันสูงสุด 10 ปี โดยฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปี การขยายระยะเวลาการค้ำประกัน โครงการ PGS ระยะที่ 5-ระยะที่ 7 ไปอีก 5 ปี ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 28,000 ราย โดยยังได้รับวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน กว่า 70,000 ล้านบาท
และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการเสริมสภาพคล่อง (ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 8) ประกอบด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “บสย. D ยกกำลังสาม” (บสย. D3 ) จำนวน 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาค้ำประกันสูงสุด 10 ปี เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กว่า 10,000 ราย โครงการค้ำประกันอื่น ๆ ภายใต้โครงการ PGS 8 จำนวน 40,000 ล้านบาท ระยะเวลาสูงสุด 10 ปี ช่วยผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีจำนวน 20,000 ราย นอกจากนี้ครม.ยังเห็นชอบให้ บสย.ขยายขอบข่ายการค้ำประกันสินเชื่อให้ครอบคลุมธุรกรรมเช่าซื้อรูปแบบลิสซิ่ง และธุรกิจรับซื้อบัญชีลูกหนี้ (แฟคเตอริ่ง) อีกด้วย
“มาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการเร่งด่วน ที่ บสย.พร้อมดำเนินการทันที ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยเสริมสภาพคล่องภาคธุรกิจ เนื่องจากมีการปรับเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นขึ้นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และยังช่วยเหลือผู้ประกอบการไม่ให้ถูกฟ้องดำเนินคดีอีกด้วย“