คลอดแพคเกจ “อุ้มSMEs” 3.8 แสนล้าน



  • ช่วยเอสเอ็มอีทำธุรกิจต่อไม่ไหวได้ 2 แสนราย
  • ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์เพิ่มเติม 5 เรื่อง
  • จูงใจธนาคารพาณิชย์ปรับโครงสร้างหนี้-ปล่อยกู้เพิ่ม

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ครม.มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอกระทรวงการคลังใน“มาตรการต่อเติม เสริมทุน เอสเอ็มอี สร้างไทย” วงเงิน 380,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เอสเอ็มอีได้ไม่น้อยกว่า 200,000 ราย จากการค้าโลกที่ชะลอตัว และค่าเงินบาทแข็งให้สามารถแข่งขัน และอยู่รอดท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่ นอนได้ โดยจะยกระดับความสามารถของเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ 

สำหรับมาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย กลุ่มแรก คือ กลุ่มเอสเอ็มอีที่ต้องการสภาพคล่อง ได้แก่

1.โครงการสร้างไทย โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ตั้งวงเงินค้ำประกัน 60,000 ล้านบาท จ่ายค่าชดเชยความเสียหายไม่เกิน 40% ของวงเงินค้ำประกันแก่ลูกหนี้ที่มีศักยภาพแต่ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง ลูกหนี้ที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) และลูกหนี้รีไฟแนนซ์ (Re-finance)ให้มีสภาพคล่อง

2.โครงการ เสริมแกร่ง ของ ธนาคารออมสิน ที่ให่้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2 วงเงิน 15, 000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปี ส่วนสถาบันการเงินที่เข้าร่วมจะคิดดอกเบี้ยราว 4% ต่อปีระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี ให้แก่กลุ่มธุรกิจ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน

3.โครงการธนาคารออมสิน ผ่อนปรนภาระการจ่ายเงินต้น และเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ วงเงิน 50, 000 ล้านบาท ให้กู้ต่อรายไม่เกิน 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้นของลูกค้าชั้นดี (MLR) ลบ 1% ระยะเวลากู้สูงสุด 6 ปี และปลอดชำระเงินต้น 1 ปี ส่วนกลุ่มที่สอง คือ SMEs ที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทันที ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อระยะที่ 5 ถึง ระยะที่ 7 ของบสย.ซ่ึงจะขยายเวลาการค้ำประกันในโครงการออกไปอีก 5 ปี และยกเลิกเงื่อนไขที่ให้ บสย.จ่ายค่าประกันชดเชยเมื่อสถาบันการเงินดำเนินคดีกับเอสเอ็มอี โดยให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่เอสเอ็มอี ที่บสย.ค้ำประกัน และกำลังถูกฟ้องจะได้รับการช่วยเหลือ 28,000 ราย วงเงิน 70,000 ล้านบาท 

กลุ่มที่สาม คือสร้างศักยภาพ โดยสนับสนุนผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน และการค้ำประกันสินเชื่อรายย่อยผ่านกองทุนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)โดยเอสเอ็มอีแบงก์เป็นผู้พิจารณาสินเชื่อ วง เงิน 5,000 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 1% ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี เงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี พร้อมให้ปรับโครงสร้างหนี้แทนการฟ้องดำเนินคดี ขยายการค้ำประกันสินเชื่อ คลุมธุรกรรมการให้เช่าซื้อ-การให้เช่าแบบลิสซิ่ง-แฟ็กเตอริง และโครงการไดเร็คการันตีวงเงินค้ำประกันต่อรายไม่เกิน 10 ล้านบาท

ขณะที่นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเพิมเติ่มว่า ในส่วนของธปท.มีการผ่อนคลายเกณฑ์  5 เรื่องเพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อช่วยเอสเอ็มอีในครั้งนี้  คือ 1. การปรับเกณฑ์ของธปท.เพื่อให้การปรับโครงสร้างหนี้เอสเอ็มอี ที่ยังไม่ได้เป็นเอ็นพีแอล สามารถลดดอกเบี้ยและยืดระยะเวลาการชำระหนี้ได้ โดยไม่ต้องส่งรายงานไปยังเครดิต บูโรว่าเป็นหนี้จัดชั้น  ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์กล้าปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น 

2. เอสเอ็มอีที่เป็นเอ็นพีแอล หากปรับโครงสร้างหนี้และผ่อนส่งต่อเนื่องติดต่อกัน 3 เดือน ให้กลับมาจัดชั้นเป็นหนี้ปกติได้ จากเดิมที่ต้องผ่อนชำระครบ 12 เดือน 3.ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้เอสเอ็มอีที่เป็นเอ็นพีแอล ให้ธนาคารพาณิชยให้สินเชื่อใหม่เป็นเงินทุนหมุนเวียนได้ โดยส่วนนี้แยกออกมาไม่เกี่ยวกับหนี้เก่า เพื่อให้ธปท.ดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง 4.ขอความร่วมมือไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ลดวงเงินสินเชื่อของลูกหนี้เอสเอ็มอีที่ยังไม่ได้ใช้ เพื่อให้เอสเอ็มอีมีช่องทางในการหาเงินทุนในอนาคต และ5.ขอให้มีการรายงานสถานะสินเชื่อเอสเอ็มอีต่อเนื่อง โดยให้ความสนใจและดูแลลูกหนี้เอสเอ็มอีเป็นพิเศษ โดยเป็นการผ่อนคลายในระยะเวลา 2 ปี จากวันที่ 1 ม.ค.63-31ธ.ค.64