‘จุลพันธ์’ สั่งสรรพากรปฏิรูประบบภาษี ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ

จุลพันธ์ กรมสรรพากร
‘จุลพันธ์’ สั่งสรรพากรปฏิรูประบบภาษี ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ


‘จุลพันธ์’ รมช.คลัง มอบนโยบายสรรพากรยุคใหม่ ลุบขับเคลื่อนปฏิรูประบบภาษี เน้นใช้เทคโนโลยี สร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ หวังเพิ่มรายได้รัฐ-ลดช่องว่างทางภาษี ให้มีประสิทธิภาพ ชี้รายได้ทางภาษีของไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 2.6% โดยทาง OECD เผยสัดส่วนการจัดเก็บภาษีต่อ GDP ของประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก จะอยู่ที่ 19.3%

วันนี้ (19 ธ.ค.67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เป็นประธานในพิธีเปิดพร้อมมอบนโยบายโครงการหลักสูตรการประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยนายจุลพันธ์ กล่าวว่า บทบาทสำคัญของกรมสรรพากรในฐานะหน่วยงานหลักที่จัดเก็บรายได้กว่า 80% ของรายได้รัฐบาล พร้อมเน้นย้ำเป้าหมายการปฏิรูประบบภาษี เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลัง และความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ 

โดยปัจจุบันสัดส่วนภาษีที่กรมสรรพากร จัดเก็บต่อ GDP ของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ที่ 16.7% ขณะที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เพื่อการพัฒนาและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่ไปกับการจัดสวัสดิการให้แก่คนไทยทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเมื่อประเทศได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย 

หากรัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บรายได้เพียงพอต่อรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น อาจมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศไทยในระยะยาวแน่นอน

นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้กำหนดนโยบายที่จะปฏิรูประบบภาษี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ซึ่งมีกรมสรรพากรเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาปฏิรูประบบภาษีดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทย อยู่ระหว่างกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือ และการพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) 

ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่ประเทศที่เป็นสมาชิก จะมีอัตราการจัดเก็บภาษีต่อ GDP เฉลี่ย 34% ขณะที่สัดส่วนการจัดเก็บภาษีต่อ GDP ของประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก จะอยู่ที่ 19.3% เท่ากับว่ารายได้ทางภาษีของประเทศไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยประมาณ 2.6% ซึ่งหากประเทศไทย สามารถพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ได้บนพื้นฐานความยั่งยืนทางการคลัง จะทำให้สัดส่วนภาษีต่อ GDP ไม่ต่ำกว่า 20% 

นายจุลพันธ์ ยังกล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานของกรมสรรพากร ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดช่องว่างทางภาษี (Tax Gap) ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างรายได้ที่ควรจัดเก็บ กับรายได้ที่จัดเก็บได้จริง โดยเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยติดตามผู้มีหน้าที่เสียภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ 

รวมถึงนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อขยายฐานรายได้ โดยไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้กับประชาชน รวมถึงแนวทางการคืนภาษีซึ่งเป็นข้อร้องเรียนสำคัญจากผู้ประกอบการ 

นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลังได้มีการเน้นย้ำให้ปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีด้วยระบบบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้เสียภาษีที่มีความเสี่ยงต่ำ ควรได้รับเงินคืนอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องของธุรกิจ ตลอดจนการปราบปรามการทุจริตในระบบภาษี โดยใช้วิธี Domestic Reverse Charge ซึ่งประสบความสำเร็จในหลายประเทศ มาใช้แก้ไขปัญหาทุจริตในภาษีมูลค่าเพิ่ม 

อย่างไรก็ตาม สำหรับเป้าหมายทางเศรษฐกิจในปี 2568 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ว่า ไทยจะมีการขยายตัวอยู่ที่ 3% แต่รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะทำให้ขึ้นไปถึง 5% ภายในอนาคตอันใกล้ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ 

โดยในช่วงต้นปีหน้า ก็จะดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน ในโครงการขนาดใหญ่ ที่มีศักยภาพในการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และโครงการคุณสู้ เราช่วย ที่มุ่งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และผู้ประกอบการ SMEs ที่จะติดตามให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้เสียภาษีอย่างถูกต้อง

กรมสรรพากร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “จุลพันธ์” กดปุ่มโครงการไร่ละ 1,000 ธ.ก.ส. ประเดิมโอนภาคเหนือวันนี้วันแรก