คลัง ประมาณการเศรษฐกิจปี 67 โต 2.7% มองปี 68 ขยับขึ้น 3%

กระทรวงการคลัง เศรษฐกิจ
คลังประมาณการเศรษฐกิจปี 67 โต 2.7% มองปี 68 ขยับขึ้น 3%


กระทรวงการคลัง ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 67 คาดขยายตัวที่ 2.7% นำโดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกสินค้า รวมถึงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี มองเศรษฐกิจปี 68 จะขยายตัวขึ้นอยู่ที่ 3.0% รับอานิสงส์ปัจจัยบวก 4 ด้าน คือการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนทั้งภาครัฐ-เอกชน

เผยการลงทุนภาคเอกชน คาดหดตัวที่ -1.9% เหตุการหดตัวการลงทุนด้านเครื่องจักร เป็นผลจากยอดขายรถยนต์สันดาปลดลง

ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.4% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน

ชี้ต้องติดตามปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าไทย ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจ

วันนี้ (31 ต.ค.67) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.2%-3.2%) คงเดิมจากประมาณการครั้งก่อน และนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2566 ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 1.9% ต่อปี 

ประมาณการเศรษฐกิจ
ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 และ 2568

โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี 2567 คาดจะมีจำนวน 36 ล้านคน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 4.6% เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน 

ทั้งนี้ แม้จะเผชิญแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจากสถานการณ์อุทกภัย แต่ผลจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐได้ชดเชย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนมากขึ้น 

สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.9% เนื่องจากมีสัญญาณฟื้นตัวดีกว่าคาด ในไตรมาสที่ 2 และ 3 จากโอกาสของผู้ประกอบการไทยแทนที่สินค้าจีนที่ถูกปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐอเมริกา 

นอกจากนี้ การบริโภคภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.1% และการลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวที่ 0.8% อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าหดตัวที่ -1.9% เนื่องจากการหดตัวของการลงทุนด้านเครื่องจักรเครื่องมือ โดยเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์สันดาปที่ลดลง ซึ่งต้องจับตาการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างใกล้ชิด

นายพรชัย กล่าวต่อว่า ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะอยู่ที่ 0.4% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากราคาพลังงานในตลาดโลก ปรับตัวลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะเกินดุล 10.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1.9% ของจีดีพี 

“สำหรับในปี 2568 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 3.0% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.5% – 3.5% ) จากปัจจัยบวก 4 ด้านหลัก คือการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน”

ทั้งนี้ คาดว่าการบริโภคภาคเอกชน จะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 2.9% ต่อปี ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ในตลาดโลก และเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยคาดว่าการส่งออกสินค้า จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.1% ต่อปี 

ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี 2568 คาดว่าจะมีจำนวน 39 ล้านคน ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ รวมถึงมีแรงสนับสนุนสำคัญจากงบประมาณปี 2568 ที่พร้อมเร่งเบิกจ่าย ส่งผลให้คาดว่าการบริโภคภาครัฐจะขยายตัวที่ 2.2% ต่อปี 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 การลงทุนจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยได้รับแรงหนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.การลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.3% ต่อปี ขยายตัวเร่งตัวขึ้นจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนผ่านมาตรการของบีโอไอ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

2.การลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัว

ที่ 4.7% ต่อปี จากการเร่งรัดการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน และการเร่งรัดโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และโครงการรถไฟทางคู่ในเส้นทางต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันและกระตุ้นการลงทุนต่อเนื่องในภาคเอกชน

ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.0% ต่อปี เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้า ตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 10.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.7% ของจีดีพี

อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด อาทิ 1.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นข้อจำกัดและส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ในระยะถัดไป เช่น สถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้ปรับตัวสูงขึ้น การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา 

และความกังวลเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้ เกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์ หลังมีการซ้อมรบของกองทัพเรือจีนและรัสเซีย ในบริเวณดังกล่าว รวมถึงการขยายบทบาทของกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ BRICS และการรวมตัวอย่างไม่เป็นทางการเชิงยุทธศาสตร์ ของกลุ่มประเทศ CRINK (จีน รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ) ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อสหรัฐฯ ในเรื่องระเบียบโลกใหม่ 

2.ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ 3.การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย 4.ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจ ที่จะบั่นทอนการใช้จ่ายในระยะต่อไป และ 5.ผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด

กระทรวงการคลัง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : คลังเผย นายกฯ เตรียมมอบนโยบายด้านเศรษฐกิจให้กระทรวงคลัง 31 ต.ค.นี้