

“พิชัย” ร่วมหารือ ธปท. กำหนดกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินปี 68 หวังวางแนวทางการเงิน-การคลัง ไปทางเดียวกัน หนุนเศรษฐกิจประเทศเติบโตเข้าเป้า ประเมินจีดีพีปี 68 โตระดับ 3% พร้อมดูแลอัตราแลกเปลี่ยน กำหนดกรอบเงินเฟ้อ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เสริมแกร่งให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ พร้อมดันแก้ปัญหาหนี้ให้สำเร็จ ส่งผลให้เอสเอ็มอี เกิดการลงุทน มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อใหม่ๆ ได้มากขึ้น
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันนี้ (29 ต.ค.67) กระทรวงการคลัง ได้ร่วมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการกำหนดกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินปี 68 โดยเนื้อหาที่หารือกันวันนี้จะเป็นในเรื่องของนโยบายทางการเงิน จากนี้ควรจะเป็นอย่างไร เพื่อให้มีความสอดคล้องกับนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งหน้าที่ของกระทรวงการคลังก็ต้องทำให้หาจุดลงตัว หาข้อตกลงกันให้ได้ เพื่อได้นำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไปโดยเร็ว ส่งผลให้นโยบายทางการเงิน-การคลัง มีทิศทางไปในทางเดียวกัน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยได้เผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตไม่สูงมาก ซึ่งทางภาครัฐก็อย่างให้เติบโตสูงขึ้น แต่มาวันนี้เศรษฐกิจประเทศ ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตในระดับที่ดี หากย้อนไปก่อนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะมาดำเนินการบริหารประเทศ จีดีพีประเทศเติบโตที่ระดับ 1.9%-2% โดยปี 67 นี้ ก็คาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 2.7% หรือเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาที่ 35%
ทั้งนี้ ก็คาดการณ์ไว้ด้วยว่า ในปี 68 หากทิศทางเศรษฐกิจเดินทางเส้นทางที่คาดการณ์ไว้ เป็นตามปกติ จีดีพีประเทศไทย จะอยู่ที่ระดับ 3% ได้
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า หากอย่างเห็นเศรษฐกิจที่เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ จาการหารือทาง ธปท. ก็มีความเข้าใจถึงเจตนา และแนวนโยบายของกระทรวงการคลัง เนื่องด้วยนโยบายของ ธปท. เอง โดยเฉพาะของนโยบายของคณะกรรมการการเงิน ก็มีจุดประสงค์เหมือนกับของกระทรวงการคลัง ที่เขียนไว้ชัดเจน ว่าจะออกนโยบายทางการเงิน เพื่อสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
อีกทั้งยังมีการที่จะดูแลในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีพูดคุยกับธปท.เพื่อให้มั่นใจว่า นโยบายการเงิน และการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน มีความเอื้ออำนวยสอดคล้องสนับสนุน กับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลก็มีความต้องแบบนั้นเช่นกัน
“เรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจากนี้ก็ต้องมาดูกันว่า ที่ผ่านมาเรากำหนดกรอบเงินเฟ้อไว้ โดยในมุมมองผมเรื่องเงินเฟ้อ เป็นปัญหาที่ปลายเหตุ สินค้าจะถูกจะแพง มาจากปัจจัยหลายอย่าง การลงทุนน้อย ประชาชนมีรายได้น้อยไม่มีเงินใช้จ่าย ซึ่งก็อยากให้มาดูกันที่ต้นเหตุดีกว่า แต่ก็ยังคงต้องมีการกำหนดกรอบเงินเฟ้ออยู่”
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า ตนไม่ว่าเลย หากกรอบเงินเฟ้อจะเป็น 1.5% หรือ 3.5% ก็ไม่มีผล ถ้าของจริงออกมาแล้วต่ำกว่า 1% อันที่จริงทางกระทรวงการคลังก็รับได้ ถ้าหากกรอบจะอยู่ที่ระดับ 1-3% แต่ทั้งนี้ ทาง กนง. และ ธปท. ก็ต้องมีมาตรการในการที่จะสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็จะต้องยอมรับ หากทำให้เงินเฟ้อขยับไปในจุดที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับคาดการณ์ที่ 2% ก็จะพยายามทำให้กรอบเงินเฟ้อที่ตอนนี้ต่ำกว่า 1% ขยับขึ้น ก็ต้องมีมาตรการอะไรมาช่วย ทำให้เงินเฟ้อขยับในเป็นระดับ 2% ได้หรือไม่
ทั้งนี้ มาตรการที่จะทำให้เงินเฟ้อขยับใกล้ระดับ 2% ก็ต้องมาไล่ดูว่าจะทำอย่างไร นั้นคือต้องมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ก็ต้องมาดูที่การลงทุน ซึ่งรัฐบาลก็ผลักดันเรืองการลงทุนอยู่แล้ว ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้การลงทุนเกิดขึ้น ก็ต้องมาดูในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยจะขึ้นจะลง ก็ทำให้รู้ว่าต้องสนับสนุนอย่างไร โดยเทียบกับต่างประเทศ ซึ่งก็อาจไม่ต้องมาพูดแล้วว่า ประชุม กนง.กันครั้งนี้ จะปรับลงหรือปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งก็อยากให้ดูปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศ และต่างประเทศเป็นเกณฑ์
“ในการประชุมครั้งนี้ ก็ได้มีการยอมรับกับ ธปท.ไปด้วยว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีการลงทุน และลดอัตราดอกเบี้ย การลงทุนในเรื่องเครื่องจักร บุคลากร ก็ยังลงทุนไม่เต็มที่ เนื่องด้วยกลุ่มที่ลงทุนอยู่ ก็ยังเป็นเอสเอ็มอี (SMEs) กลุ่มเดิม ที่ยังมีปัญหาในเรื่องภาระหนี้สิน ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการแก้ปัญหาหนี้ ซึ่งล่าสุดได้สั่งการให้แก้ปัญหาให้ตกผลึก และบูรณาการให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์จากนี้”
ทั้งนี้ หากแก้ปัญหาหนี้ได้สำเร็จ โดยเฉพาะในส่วนของหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หนี้เกี่ยวกับอุปโภคบริโภค ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ก็จะเป็นโอกาสที่การลงทุน และหาสินเชื่อใหม่ๆ จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากเกิดการลงทุน แน่นอนอยากให้มีการลงทุนในด้านดอกเบี้ย ก็จะลดลงเอง สภาพคล่องก็จะตามมา ค่าเงินเฟ้อก็จะสูงขึ้น สินค้าก็จะสูงขึ้นมานิดหน่อย
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า ยังฝากในที่ประชุมด้วยว่า อย่าลืมว่าภาคการลงทุนในไทย โดยธรรมชาติการลงทุนของประเทศจะพึ่งพาตลาดในประเทศ 70% และส่งออก 30% บ้างประเภทก็พึ่งพาการส่งออกที่ 50% ดังนั้นก็จะเห็นว่าการลงทุนในไทยจะชอบอัตราแลกเปลี่ยน ที่สามารถแข่งขันได้กับประเทศที่คู่แข่งของไทย ซึ่งต่อให้เงินบาทไทยค่าเงินอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หากประเทศอื่นอ่อนน้อยกว่าเราก็จะไม่ชอบ ซึ่งสรุปก็ต้องอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งก็ต้องออกมาตรการมาดูแลให้ครบรอบด้าน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : คลังเผยช่วยแก้หนี้นอกระบบ อนุมัติวงเงินแล้วรวมกว่า 1.02 พันล้านบาท