

เลขาฯ บีโอไอ เผยแนวโน้มลงทุนไทยยังเติบโตต่อเนื่องใน 2-3 ปีข้างหน้า จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ กฎ กติการะดับโลกที่เข้มข้นขึ้นเรื่องสิ่งแวดล้อม และการปฏิรูประบบภาษีระหว่างประเทศของ OECD
ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีเงินลงทุนแล้วกว่า 1.5 ล้านล้านบาท จากเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาท และบีโอไอจะเร่งดึงลงทุนต่อเนื่อง ล่าสุดนายกรัฐมนตรีแพรทองธาร นั่งประธานบอร์ดอีวี เร่งช่วยอุตสาหกรรมยานยนต์ บีโอไอเตรียมชงสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมช่วยผู้ประกอบการ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในไทยยังเติบโตต่อเนื่อง โดยตามแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ ระยะ 5 ปี(2566 – 2570) มีเป้าหมายดึงเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งขณะนี้สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนแล้วกว่า 1.5 ล้านล้านบาทในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมา และยังมีทิศทางที่ดีในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อที่สำคัญของประเทศไทย จากปัจจัยระดับโลกที่เข้ามาสนับสนุน 3 ด้าน (3G) ได้แก่
ปัจจัยระดับโลกที่เข้ามาสนับสนุน 3 ด้าน
1. Geopolitics ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ มีผลต่อทิศทางการลงทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
2. Green Transition กฎ กติการะดับโลกที่เข้มข้นขึ้นในเรื่องการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
3. Global Minimum Tax การปฏิรูประบบภาษีระหว่างประเทศของ OECD
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นมีผลต่อทิศทางการลงทุนทั่วโลก และไทยมีความได้เปรียบที่สามารถรองรับเทรนด์การลงทุน 3G ทั้งปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีความเป็นกลาง ทำให้ทั้งสหรัฐ และจีนเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยสหรัฐลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น 70% ขณะที่จีนเพิ่มขึ้น 2 เท่า
ขณะที่เป้าหมายเรื่อง Net Zero ของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก กระตุ้นให้เกิดการลงทุนสีเขียว และไทยมีความพร้อมด้านพลังงานสะอาดที่สามารถรองรับการลงทุนดังกล่าวได้ ส่วนเรื่อง Global Minimum Tax จะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 ซึ่งไทยเตรียมพร้อมรองรับมาตรการดังกล่าว โดยกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเสนอการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Domestic Top up Tax) 15%
นายนฤตม์ กล่าวว่า บีโอไอได้ทยอยปรับมาตรการเพื่อรองรับ Global Minimum Tax โดยปรับรูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพิ่มเติม โดยมีทางเลือกให้บริษัทปรับรูปแบบจากการยกเว้นภาษีเป็นลดหย่อนภาษี และขยายระยะเวลาให้กับบริษัทเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันในไทยมีบริษัทที่เข้าข่ายดังกล่าว 1,000 บริษัท รวมถึงให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม โดยพิจารณาโครงการที่เข้าข่ายได้รับการสนับสนุนตามพรบ.เพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันมีเงินกองทุนอยู่ประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 68 กองทุนเพิ่มขีดความสามารถได้รับงบประมาณเพิ่ม 5,000 ล้านบาท
“ช่วง 2-3 ปี ข้างหน้าเป็นห้วงเวลาสำคัญของไทยในการช่วงชิงการลงทุน ผ่านพ้นช่วงนี้ไปแล้วจะหมดรอบการลงทุน จึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการดึงเม็ดเงินลงทุนโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย”
5 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอตั้งเป้าดึงลงทุนในไทย
สำหรับ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอให้ความสำคัญดึงลงทุนในประเทศไทย คือ 1.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และเซมิคอนดักเตอร์ โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีการลงทุนประมาณ 1.8 แสนล้านบาท 2. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ มีการลงทุนประมาณ 9 หมื่นล้านบาท 3. พลังงานสะอาด 8หมื่นล้านบาท 4. อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร 5 หมื่นล้านบาท และ 5. อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 3 หมื่นล้านบาท
นายนฤตม์ กล่าวว่า ในการช่วงเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมสู่เทคโนโลยีใหม่ มีปัจจัยที่ท้าทาย โดยเฉพาะบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ โดยบีโอไอมีความร่วมมือหลายด้านกับหลายหน่วยงานในการพัฒนาบุคลากร ในการ “Build & Buy”โดย Build เช่นร่วมกับกระทรวงอว. เร่งพัฒนาบุคลากร Upskill Reskill ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และบริษัทเอกชน โดยให้สิทธิประโยชน์จูงใจในการพัฒนาบุคลากร ส่วน Buy มีการให้สิทธิประโยชน์จูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทย ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 5 หมื่นคน รวมทั้งการให้ LTR Visa ปัจจุบันมีประมาณ 5,000 คน และ Smart Visa มีประมาณ 2,000 คน
บอร์ดใหม่ EV เร่งช่วยผู้ประกอบการ
นายนฤตม์ กล่าวว่า รัฐบาลได้ตั้งบอร์ด EV ชุดใหม่ โดยมีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีนายพิชัย ชุณหวชิรรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังเป็นรองประธาน และมี 3 หน่วยงานเป็นกรรมการ สนพ. สศอ. และกรมสรรพสามิต
โดยมีบีโอไอเป็นเลขานุการ โดยเตรียมหามาตรการที่จะช่วยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่มีการหดตัวอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาหนี้ครัวเรือนและการไม่ปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ซึ่งบีโอไอมีมาตรการช่วยเหลือทั้งผู้ประกอบการรายเดิมให้เปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปสู่รถยนต์พลังงานใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการ EV รายใหม่ ที่เพิ่งเริ่มตั้งฐานผลิตในประเทศไทยให้สามารถเติบโตได้
ทั้งนี้ จะเสนอมาตรการให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก หรือ SMEs ที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้อัปเกรดเทคโนโลยีรองรับการเปลี่ยนผ่าน ทั้งการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการให้คำปรึกษา ฝึกอบรม รวมถึงมาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ 40%
“อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เราเพิ่งเริ่ม แต่แนวโน้มตลาดที่หดตัว 20-30% ทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ จะมีการเสนอมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการก้าวข้ามอุปสรรค และสามารถเติบโตได้ การเปลี่ยนผ่านมีความสำคัญ จะทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่รอดได้ ก้าวข้ามปัญหา และสามารถเติบโตไปพร้อม ๆกัน มาตรการใหม่ ๆ จะมุ่งสู่ทิศทางนี้เป็นหลัก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ โดยทำให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตอันดับ 1 ในภูมิภาค และอยู่ในท็อปเทนของโลก” นายนฤตม์กล่าว
นอกจากนี้ บีโอไออยู่ระหว่างการเจรจาผู้ประกอบการแบตเตอรี่ระดับโลกให้เข้ามาตั้งฐานผลิตในประเทศไทย ซึ่งแบตเตอรี่ จะเป็นหัวใจสำคัญทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยมีความมั่นคงขึ้น จากการยกระดับทั้ง Eco System ซัพพลายเชน เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ข่าวเกี่ยวข้อง : บีโอไอ หนุน “เม็กเท็ค” ขยายลงทุน PCB รองรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัว