ครม. มีมติ เลื่อนการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจฝ่าฝืนกฏหมาย ให้รอ ครม. ชุดใหม่

ครม.
ครม. มีมติ เลื่อนการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจฝ่าฝืนกฏหมาย ให้รอครม.ชุดใหม่


ครม.ให้เลื่อนจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามสินค้และธุรกิจฝ่าฝืนกฎหมาย ให้รอครม.ชุดใหม่ โดยระหว่างนี้ให้หน่วยงานเข้มงวดตรวจสอบ เช่น เพิ่มความถี่การตรวจตู้ -ตรวจคุณภาพสินค้า

ทำเนียบรัฐบาล: 3 ก.ย. 2567 นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม. ) มีมติให้เลื่อนเรื่องการตั้ง ศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจฝ่าฝืนกฎหมาย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอออกไปก่อน เพื่อรอครม.ชุดใหม่มาดำเนินการ ทั้งนี้เพื่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการ หากเสนอให้ครม.ชุดนี้เห็นชอบ ก็ต้องนำเสนอกลับมาให้ครม.ชุดใหม่พิจารณาอีกครั้ง ดังนั้นรอครม.ชุดใหม่มาพิจารณาอนุมัติ ซึ่งคาดว่าจะมีครม.ชุดใหม่เร็วๆนี้

เร่งรัดหน่วยงานเข้มงวดตาม  5 มาตรกร

สำหรับมาตรการป้องกันสินค้าผิดกฎหมาย ที่กระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป็นเจ้าภาพหลักในการรับเรื่องร้องเรียนนั้น ได้เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว รวม 5 มาตรการหลัก ประกอบด้วย 63 แผนปฏิบัติการ ดังนี้ 1. ให้หน่วยงานรัฐ บังคับใช้ระเบียบกฎหมายอย่างเข้มข้น โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องการตรวจสินค้า ณ ด่านศุลกากร ด้วยการเพิ่มความถี่การเปิดตู้สินค้า เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ขายโดยทั่วไปและทางออนไลน์ให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการเพิ่มความถี่การตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่จำหน่ายออนไลน์ ให้เป็นไปตามกฏหมายไทย

2.ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการค้าอนาคต โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการออนไลน์จากต่างประเทศต้องจดทะเบียนนิติบุคคลและมีสำนักงานในไทย เพื่อให้ภาครัฐ สามารถกำกับดูแล ซึ่งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ( ETDA.) อยู่ระหว่างจัดทำประกาศ รวมถึงต้องเพิ่มจำนวนรายการสินค้าควบคุมภายใต้มาตรฐานบังคับครอบคลุมรายการสินค้าให้มากที่สุด

3.มาตรการด้านภาษี กรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงกฎหมายภาษี สำหรับการกำหนดให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ และแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่จำหน่ายสินค้าในไทย ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ขณะเดียวกันต้องจัดอบรมความรู้เชิงเทคนิคให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการยื่นคำขอและไต่สวนการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด การอุดหนุน และมาตรการปกป้องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น

4. มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)ไทย ด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ในการผลิต ขยายการส่งออกสินค้าไทยผ่านอี-คอมเมิร์ซ เพื่อให้เอสเอ็มอีไทย แข่งขันได้ในยุคการค้าโลกใหม่

5. สร้างและต่อยอดความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เพื่อผลักดันสินค้าและบริการไทยผ่านอี-คอมเมิร์ซ ต่างประเทศ และส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางรวบรวมและกระจายสินค้าสำหรับอี-คอมเมิรซ์ในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ทุกหน่วยงานต้องดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้ และรายงานผลการดำเนินงานเป็นรายสัปดาห์ อย่างไรก็ตามทั้ง 5 มาตรการ ได้คำนึงถึงความสอดคล้องกับความตกลงทางการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศคู่ค้า ควบคู่กับการรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทยอย่างสมดุล

ทำเนียบรัฐบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ครม. ไฟเขียวงบกลางฯ 1,214 ล้านบาท “จ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด” เดือนกันยายน