แนะ ไทย ปรับแผนเที่ยวยั่งยืน ทำใหม่ 3 เรื่อง ปลดล็อกเป้า 3.5 ล้านล้าน

ท่องเที่ยวยั่งยืน
การพัฒนา “ท่องเที่ยวยั่งยืน”ของประเทศไทยยุคใหม่ตามปรากฏการณ์ที่องค์การสหประชาชาติแนะนำแนวทางปฏิบัติ 17 ข้อ


กระตุก ไทย ทำใหม่ “ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน” ร่วมปลดล็อกใหญ่เป้ารายได้ปีละ 3.5 ล้านล้านบาท ทำด่วน 3 เรื่อง “ปรับโจทย์ให้ท่องเที่ยวทำรายได้เสริม-หันทำทัวร์ระบบรางลดคาร์บอน-มุ่งขายในสิ่งที่ไทยเป็น” ไม่ใช่ “โปรเจกต์ลงทุน” ใช้เงินนับพันล้าน

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน Sustainable และการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ Responsibility Tourism ภายใต้การเดินหน้าทำรายได้เข้าประเทศปี 2567 ให้ได้กว่า 3.5 ล้านล้านบาท นั้นต้องปรับมุมคิดและทิศทางกันใหม่โดยนำภาพจำจากประสบการณ์โควิดมาเป็นบทเรียน ข้อที่ 1 ต้องทำ “ท่องเที่ยว” เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ “เป้าหมาย” ข้อที่ 2 การท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อคนทั้งมวล หรือเพื่อเฉพาะผู้ประกอบการ ซึ่ง เป็นความท้าทายค่อนข้างยากภายใต้แรงกดดัน 3 ตัวแปรใหญ่ ได้แก่

ตัวแปรที่ 1 ห่วงโซ่ของซัพลายเชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตัวแปรที่ 2 พนักงานในบริษัทจะต้องเดินไปพร้อมกับองค์กรได้ด้วย โดยจะต้องฝึกทักษะการดูแลซัพพลายเชนและบริการลูกค้า เนื่องจากการปลดล็อกเรื่องดังกล่าวพนักงานอาจจะต้องเรียกร้องเรื่องค่าจ้างสูงขึ้น ตัวแปรที่ 3 ต้องใช้ทักษะความคิด และแผนพัฒนาท่องเที่ยวแล้วทำให้ชุมชนแวดล้อมอยู่ร่วมกันได้ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ส่วนกลไก ในอุตสาหกรรมที่หน่วยงานต่าง ๆ นำมาใช้กับนักท่องเที่ยวคือ จะต้อง “เลือกใช้การเดินทาง” อย่างถูกวิธี เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือกับการรถไฟแห่งประเทศไทย นำระบบรางเข้ามาใช้ หากทำได้จะพลิกโฉมการท่องเที่ยวลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากอดีตทั้ง 2 หน่วยงานเคยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังเหมือนกัน ถ้าผนึกความร่วมมือทำงานร่วมกันได้จะสร้างประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวหน้าใหม่ขึ้นอีกครั้ง

สัญญาณอันตรายจากเมื่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติถูกทำลาย
สัญญาณอันตรายจากเมื่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติถูกทำลายก็จะส่งผลกระทบมาถึงชีวิตผู้คนรอบชุมชนและประเทศในอนาคต

โดยจะจะต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ “การท่องเที่ยวยั่งยืน” แนวทางแรก แนะนำให้ยกเครื่องระบบเครือข่ายเชื่อมโยงโลจิสติกส์ ด้วยการรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวหันมาใช้ระบบรางอย่างรถไฟเดินทาง ไม่ใช่จะให้เปลี่ยนทันทีเพียงแต่ปรับจูน “ตารางเดินรถของการรถไฟ” คัดเลือกเฉพาะเส้นทางที่สามารถให้บริการได้ตรงเวลาอย่างแท้จริงแล้วนำร่องเที่ยวจริง เพราะหากยังส่งเสริมการขับรถท่องเที่ยวก็ยังเป็นไฮคาร์บอนเหมือนเดิม และ “การขับรถยนต์ระบบไฟฟ้า” EV น่าจะแนะนำให้เป็นบริการภายในท้องถิ่น เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องจุดปลั๊กอินชาร์จแบตเตอรี่ การซ่อมบำรุง และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง

แนวทางที่ 2 ต้องตั้งเป้าให้การท่องเที่ยวเป็น “อุตสาหกรรมทำรายได้เสริมมากกว่ารายได้หลัก” เนื่องจากบริบทการลงทุนจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือหากทำเป็นรายได้หลักก็จะมีนักลงทุนแห่เสนอทำโครงการขนาดใหญ่เป็นจำนวนมากเลอะเทอะไปหมด แตกต่างจากโจทย์ ท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมทำรายได้เสริมอย่างแน่นอน

การปรับตัวของเจ้าของพื้นที่ท่องเที่ยวในชุมชน เรื่องที่ 1 ต้องสำรวจตรวจสอบความสามัคคีในชุมชน เรื่องที่ 2 วัตถุดิบที่มีอยู่ในพื้นที่โดยเฉพาะทรัพย์สินทางด้านบุคลากร เพราะธรรมชาติทิวทัศน์เป็นจุดหมายมาทีหลังเรื่องของคนในชุมชน เมื่อได้ 2 เรื่องแล้ว จะสามารถต่อยอด เรื่องที่ 3 “ของดีชุมชน” มาเรียบเรียงนำเสนอสตอรี่ให้เป็นธีมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มั่นคง เชื่อมั่นในวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมี สาระเรื่องเล่าแตกต่างกันจึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มต่าง ๆ ได้มากขึ้น

ท่องเที่ยวประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่ได้รับการจัดอันดับเป็นเบอร์ต้นๆ ของภูมิภาคอาเซียน

ตัวอย่างเรื่องเล่า “ชุมชนชากแง้ว” จ.ชลบุรี ซึ่งมีไฮไลต์คือศาลเจ้าแม่ทับทิมเป็นศูนย์รวมจิตใจ สามารถหลอมรวมความสามัคคีคนในชุมชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเสน่ห์ท้องถิ่นสามารถชวนนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมศาลเจ้าแม่ทับทิมได้ โดยไม่ต้องลงทุนเมกะโปรเจกต์ขนาด 100 ล้านบาท หรือ 1,000 ล้านบาท

หรือกระแสเที่ยว “หมีเนย” ซึ่งมีอัตลักษณ์เป็นตัวตนเฉพาะจนได้ฉายาว่า “ลูกสาวแห่งชาติ” มีความร่าเริง สร้างความสนุก ด้วยจริตที่ดึงดูดผู้คน ปรากฎการณ์นี้เรียกว่าเป็น “อาการ/อารมณ์” ทางสังคม ผู้คนกำลังโหยหา “สิ่งฮีลใจ” เห็นได้ชัดจากผู้คนตื่นแต่เช้ามืด มารอหมีเนยปรากฎตัวสามารถสร้างความสนใจได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากมาย มีคนทำพีอาร์ประชาสัมพันธ์

ข้อสังเกตุที่ดีคือทุกวันนี้ชาวต่างชาติเดินทางมาเมืองไทยเพราะ “ประทับใจในความเป็นไทย” โดยไม่ได้ต้องการมาดูโครงการลงทุนขนาดใหญ่มากมาย แต่ชื่นชอบความเป็นอัตลักษณ์ไทยซึ่งมีความตั้งใจจะสะท้อนตัวตนที่แท้จริงออกมาจากใจ เช่นเดียวกับหมีเนยที่โด่งดังโดนใจกลุ่มแรกคือนักท่องเที่ยวจีนที่นำไปแชร์ในโซเชียลช่วยดึงคนเข้ามาชมมากมาย

เช่นเดียวกับการแต่งไทย แต่งชุดนักเรียนไทย เรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว กลายเป็นเรื่องกระแสนิยมวางขายอยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อให้คนเช่าสวมใส่ได้ หรือแม้แต่ “สตรีมุสลิม” จากตะวันออกกลางก็ยังให้ความสนใจสวมชุดไทยถ่ายรูปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อย่างภาคภูมิใจ คนไทยก็น่าจะได้ส่งเสริมปรากฏการณ์เหล่านี้ขยายเครือข่ายบอกต่อกัน ซึ่ง ต้องอาศัยความร่วมมือกันนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ ด้วยการให้เกียรติกัน เคารพซึ่งกันและกัน ดูแลผู้คนอย่างเท่าเทียมเสมอภาค เหมือนกับญี่ปุ่นที่มีวัฒนธรรมการเข้าคิวก็ทำให้คนทั่วโลกต้องทำตาม

ดังนั้น ประเทศไทยจะนำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก้าวสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริงได้ จะต้องร่วมมือกันนำเสนอ “สิ่งที่เราเป็น” ไม่ใช่ “สิ่งที่เราสร้าง” นั่นเอง

เรื่องโดย #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ก.ท่องเที่ยว ปลื้ม ตลาด ญี่ปุ่น ฟื้น ส.ค.67แห่ทัวร์ไทยเพิ่ม 79%