ส่อล่ม! “ประมูลข้าว 10 ปี” หลังสอบ “วีเอท” ผิดปกติหลายเรื่อง

ประมูลข้าว 10 ปี
ประมูลข้าว 10 ปี


“ภูมิธรรม” สั่งอคส.เช็ค 6 บริษัทที่ยื่น “ประมูลข้าว 10 ปี” ให้ละเอียดถูกต้องตามกฎหมาย ชี้ “วีเอทฯ” แม้จะให้ราคาสูงถึง แต่มีปัญหาต้องถูกคัดชื่อออก วอนทุกฝ่ายอย่ากดดัน

  • แม้จะให้ราคาสูงถึง
  • แต่มีปัญหาต้องถูกคัดชื่อออก
  • วอนทุกฝ่ายอย่ากดดัน

รายงานข่าาจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการ ประมูลข้าวสาร 10 ปี จำนวน15,000 ตัน ว่า ขณะนี้ การตรวจสอบเชิงลึกทุกด้านใน 6 บริษัทที่ได้ยืนซองประกอบด้วย 1.บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จังหวัด กำแพงเพชร 2.บริษัท ธนสรร ไรซ์ จังหวัดชัยนาท
          
3.บริษัเอส.เอส.เอ็ม.อา.การเกษตร จังหวัดนครสวรรค์ 4.บริษัท ทรัพย์แสงทอง สุพรรณบุรี 5.บริษัท สหธัญ จังหวัดนครปฐม และ6.บริษัท บีเอ็นเค การเกษตร 2024 จังหวัดนครสวรรค์จง.
          
โดยบริษัทวีเอท อินเตอร์เทรดดิ้งให้ราคาข้าวสารสูงสุดถึง 19.07 บาทต่อ กก. หรือกว่า 286 ล้านบาท และได้ทำหนังสื่อเพิ่มราคาให้รัฐเป็น 19.073 บาทต่อ กก. ก็ตาม แต่จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบริษัทวีเอทออกมาต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นทุนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท หรือเงินทุนหมุนเวียน

และอาจเป็นบริษัทนอมินีของบริษัทอื่นๆ ทำให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตัดสินใจชะลอการประกาศผลผู้ที่ชนะประมูลที่ให้ราคาข้าวสารค้างเก่ามากสุดออกไประยะหนึ่งก่อน และให้ทาง อคส.ตรวจเช็ครายละเอียดทั้ง 6 บริษัทดังกล่าวไม่เพราะหน่วยงานของกระทรวงพาณิย์เท่านั้น

โดยให้ตรวจและขอข้อมูลเอกสารยืนยันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาทั้ง 6 รายที่ผ่านมาได้ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

  • อคส.จะออกประกาศบริษัทที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ

ทั้งนี้โดยขั้นตอนหลังจาก อคส.ได้มีการรายงานผลต่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ทราบแล้ว อคส.จะออกประกาศบริษัทที่ไม่ผ่านการตรวจสอบและบริษัทที่ผ่านจะดำเนินการต่อรองราคาข้าวอีกครั้งหนึ่ง

โดยบริษัทที่ให้ราคาข้าวสารสต็อกรัฐรองจากบริษัทวีเอท ประกอบด้วย บริษัท สหธัญ จำกัด ที่เสนอราคาไว้ 18.69 บาทต่อกก. อันดับ 3 บริษัท ธนสรรไรซ์ จำกัด เสนอราคาไว้ 18.01 บาทต่อกก. และอันดับที่ 6 เสนอราคา 12.20 บาทต่อกก.
          
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทาง อคส.มีการรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ทราบบ้างแล้ว แต่สาเหตุที่ล่าช้าและยังไม่สามารถประกาศรายชื่อผู้ที่ชนะได้ข้าวสารจำนวนนี้ไปได้นั้น เนื่องจาก อคส.จะต้องรอเอกสารข้อมูลยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณา ทำให้เกิดความล่าช้าที่ยังไม่สามารถประกาศรายชื่อออกมาได้

และที่สำคัญกระทรวงพาณิชย์ต้องการให้เกิดความโปร่งใสและไม่อยากให้เกิดปัญหาภายหลังตามมาอีก จึงอาจใช้เวลาในการตรวจสอบทั้ง 6 บริษัทนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเท่าที่ได้รับรายงานผลการตรวจสอบบริษัทวีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง

ทั้งนี้ในเบื้องต้นมีแนวโน้นที่จะไม่ผ่านและไม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะประมูลข้าวสารสตอกรัฐในครั้งนี้ เพราะยิ่งตรวจสอบเชิงลึกพบว่า บริษัทวีเอทผิดปกติในหลายเรื่อง ดังนั้น เมื่อได้เอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว อคส.จะสรุปผลทันที
         
ส่วนเรื่องการประมูลข้าวสารสตอกค้างเก่าในครั้งนี้ ถูกโยงเป็นเรื่องประเด็นการเมือง ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไม่ต้องการให้ปล่อยผ่านทุกขั้นตอนต้องตอบสังคมให้ได้ จึงทำให้เกิดความล่าช้าของการออกประกาศผู้ชนะประมูล

และไม่ว่าผลที่จะออกมาแม้บริษัทวีเอทที่ให้ราคาข้าวสารสตอกรัฐสูงถึงกว่า 286 ล้านบาท แต่เชื่อว่าหาก อคส.มีการต่อรองราคากับรายอื่นๆ แม้จะได้ต่ำหรือสูงกว่ารายแรกก็เชื่อว่าจะได้เม็ดเงินเข้าคลังถือว่าไม่น้อยและไม่ถูกตำหนิหรือถูกดำเนินคดีตามหลังมาแน่นอน

  • ชาวนายิ้มผลผลิตข้าวเพิ่ม

นายชายศักดิ์ วุฒิศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 12 นครสวรรค์ (สศท.12) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2566/67 ของพื้นที่ 5 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร เพชรบูรณ์ และอุทัยธานี)

ภาพรวมเนื้อที่เพาะปลูก 7,399,679 ไร่ เพิ่มขึ้น 0.25% คิดเป็น 18,707 ไร่ จากปีก่อนมี 7,380,972 ไร่ เนื้อที่เก็บเกี่ยว 7,215,911 ไร่ เพิ่มขึ้น 0.34% คิดเป็น 24,684 ไร่ จากปีก่อนมี 7,191,227 ไร่
         
 ทั้งนี้ เนื่องจากปีนี้ฝนตกตามปกติทำให้ในบางพื้นที่เกษตรกรสามารถทำการเพาะปลูกได้ถึง 2 รอบ ผลผลิตรวม 4,203,261 ตัน เพิ่มขึ้น 0.92% คิดเป็น 38,365 ตัน จากปีก่อนมี 4,164,896 ตัน ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 588 กิโลกรัม/ไร่ เพิ่มขึ้น 0.48% คิดเป็น 3 กิโลกรัม/ไร่ จากปีก่อนมี 585 กิโลกรัม/ไร่

ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่ามีความน่าจะเป็น 49% ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิ.ย.-ส.ค.2567 ทำให้ปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้น

  • คาด มิ.ย.ขายข้าวได้8แสนตัน

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย รายงานว่า การส่งออกข้าวในเดือนพฤษภาคม 2567 มีปริมาณ 659,566 ตัน มูลค่า 16,124 ล้านบาท โดยปริมาณลดลง 29.3% และมูลค่าลดลง 26% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2567

เนื่องจากในเดือนพฤษภาคม 2567 การส่งออกในกลุ่มของข้าวขาว และข้าวนึ่ง มีปริมาณลดลงจากเดือนก่อน เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
          
จากการที่มีฝนตกลงมาเกือบทุกวันจึงทำให้การขนถ่ายสินค้าขึ้นเรือทำได้ไม่เต็มที่และต้องล่าช้ากว่ากำหนด ส่งผลให้การส่งออกข้าวขาวมีปริมาณเพียง 407,608 ตัน ลดลง 88% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน

และส่งไปยังตลาดหลัก เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อิรัก ญี่ปุ่น แองโกล่า มาเลเซีย แคเมอรูน โมซัมบิก เป็นต้น ขณะที่การส่งออกนึ่งมีปริมาณเพียง 49,693 ตัน
          
เพิ่มขึ้นถึง 70.7% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยส่งไปยังตลาดหลัก เช่น แอฟริกาใต้ เบนิน เป็นต้น ส่วนการส่งออกข้าวหอมมะลิ มีปริมาณ 109,218 ตัน เพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยยังคงส่งไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง แคนาดา สิงคโปร์ จีน ออสเตรเลีย เป็นต้น
          
ซึ่งสมาาคมฯ คาดว่าในเดือนมิถุนายน 2567 ปริมาณส่งออกข้าวจะอยู่ที่ประมาณ 800,000 ตัน เนื่องจากมีข้าวบางส่วนที่รอส่งมอบขึ้นเรือใหญ่ที่ตกค้างมาจากเดือนก่อน ประกอบกับผู้ส่งออก

ยังคงมีสัญญาที่ต้องเร่งส่งมอบพอสมควร โดยเฉพาะในกลุ่มของข้าวขาวซึ่งมีทั้ง ข้าวตามสัญญาแบบรัฐต่อรัฐให้แก่อินโดนีเซีย และสัญญาของภาคเอกชนที่ส่งไปยังตลาดหลัก เช่น ฟิลิปปินส์
         

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :“ภูมิธรรม” เดินหน้า ประมูลข้าว 10 ปี ยืนยัน ข้าวไทยยังเป็นที่ต้องการของตลาด
: เว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์