เศรษฐา ไม่เสียแรงร่วมประชุมอาเซียน-ออสเตรเลีย เพิ่มมูลค่าทางการค้า ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์อย่างไร้รอยต่อ
- เริ่มพัฒนาเจรจาความตกลง เศรษฐกิจดิจิทัล
- จะสร้างมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลังกล่าวว่า การเดินทางเข้าร่วมการประชุมอาเซียน-ออสเตรเลีย เชื่อมั่นว่าได้เพิ่มโอกาส สร้างประโยชน์ให้ประเทศ และประชาชนไทยอย่างมาก การเดินทางครั้งนี้เพื่อส่งเสริมถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียน-ออสเตรเลีย ภายใต้ 3 สามเสาหลักของอาเซียน 1 การเมืองและความมั่นคง 2 เศรษฐกิจ 3 สังคมและวัฒนธรรม และถือเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 50 ปีอาเซียน-ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
สิ่งที่ประเทศไทยพร้อมผลักดัน ในสองด้านหลักได้แก่ 1. ความเชื่อมโยงในมิติต่างๆ Connectivity ได้แก่ การค้าการลงทุน เพิ่มมูลค่าทางการค้าผ่านกรอบความร่วมมือต่างๆ ด้านที่สอง ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ให้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ไร้รอยต่อ ด้านที่สาม ด้านดิจิทัลโดยได้เริ่มพัฒนาเจรจาความตกลง เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจะสร้างมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
และในด้านสุดท้ายที่มีความสำคัญมากคือ ด้านประชาชน การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างประชาชนผ่านการส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการช่วยเหลือด้านการเชื่อมโยงด้านการตรวจลงตราระหว่างกัน และ 2. การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งไทยสามารถร่วมกับ ออสเตรเลีย ทำให้เกิดระบบนิเวศน์รถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร รวมถึงการออกพันธบัตรความยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เชื่อมั่นว่าจะเกิดความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาคผ่านการมีเป้าหมายร่วมกัน และจะเกิดความร่วมมือ เป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจ เกิดการพัฒนา ซึ่งจะต้องไม่ลืมที่จะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ร่วมกันด้วย โดยประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะร่วมมืออย่างเต็มที่ในกรอบความร่วมมือนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จของภูมิภาค
สำหรับการพบหารือกับผู้นำ 4 ประเทศ ในการพบหารือกับผู้นำลาวได้พูดถึงการค้าชายแดน พบหารือกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้พูดคุยถึงสันติสุขในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นโอกาสให้พูดคุยเรื่องโอกาสซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นด้วยว่าเราควรเริ่มพูดคุยแนวทางการแก้ปัญหาจากการเพิ่มโอกาส ในส่วนของการพบกับผู้นำออสเตรเลียนั้นได้พูดคุยเรื่องการสนับสนุนการนำเข้าแรงงานไทยมาทำงานด้านการเกษตรที่ออสเตรเลีย ส่วนการพบหารือกับนิวซีแลนด์ ได้พูดคุยเรื่องของ การยกเว้นการตรวจประทับลงตรา และในปีนี้นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์มีกำหนดการเดินทางไทยในช่วงเดือนเมษายน
ในส่วนของการพบหารือกับฝ่ายเอกชน นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับผู้นำเอกชน 6 บริษัทใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทสำคัญทั้งในด้านอุตสาหกรรม พลังงานสะอาด และด้านกองทุน ซึ่งผมเชื่อมั่นมากว่าประเทศไทยคนไทยจะได้ประโยชน์จากการเดินทางครั้งนี้
