ธ.ก.ส. จุดพลุ BAAC Carbon Credit ซื้อขายจริงมูลค่า 1.2 ล้านบาท



ธ.ก.ส. ผนึกชุมชนธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่และบ้านแดง จ.ขอนแก่น ขับเคลื่อนภารกิจซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตอย่างเป็นทางการ ในโครงการ BAAC Carbon Credit จำนวน 400 ตันคาร์บอน มูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท 

  • ลุยขับเคลื่อนภารกิจซื้อ-ขาย Carbon Credit สร้างรายได้ให้ชุมชน
  • ชูไตรมาส 2 ปีนี้ จ่อโรดโชว์ ชวนแบงก์รัฐ-พาณิชย์ บริษัทจดทะเบียน มาร่วมวงซื้อขายคาร์บอนเครดิต
  • วางเป้าหมายสร้างปริมาณการซื้อ-ขายอีกกว่า 510,000 ตันคาร์บอน ภายใน 5 ปี

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกป่าตามแนวพระราชดำริ “ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการธนาคารต้นไม้ จนปัจจุบันมีชุมชนธนาคารต้นไม้ 6,814 ชุมชน มีสมาชิก 124,071 คน มีต้นไม้ขึ้นทะเบียนในโครงการกว่า 12.4 ล้านต้น มูลค่าต้นไม้กว่า 43,000 ล้านบาท และการยกระดับไปสู่ชุมชนไม้มีค่า มีการนำต้นไม้ที่ปลูกมาแปลงเป็นสินทรัพย์ เพิ่มมูลค่าให้กับที่ดินและนำมาใช้เป็นหลักประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. สมาชิกในชุมชนมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่ได้จากต้นไม้/ป่าไม้ ปีละ 116 ล้านบาท

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้กับชุมชนที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ธ.ก.ส. จึงได้ร่วมกับชุมชนธนาคารต้นไม้ดำเนินโครงการ BAAC Carbon Credit เพื่อเดินหน้าแนวทางการส่งเสริมการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตในประเทศ ตามโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ และตามมาตรฐานประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) เริ่มจากการขึ้นทะเบียนโครงการ การตรวจนับจำนวนต้นไม้ การตรวจรับรองคาร์บอนเครดิตจากผู้ประเมินภายนอก (Validation and Verification Body: VVB) การรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. เพื่อนำปริมาณการกักเก็บดังกล่าวไปตอบโจทย์ความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) 

โดยนำร่องโครงการธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่และธนาคารต้นไม้บ้านแดง จ.ขอนแก่น จำนวนคาร์บอนเครดิต 400 ตันคาร์บอน โดย ธ.ก.ส.ซื้อ-ขายกึ่ง CSR ในราคาตันละ 3,000 บาท คิดเป็นเงินรวม 1,200,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเกษตรกรในชุมชนจะมีรายได้ 842,100 บาท ซึ่งโครงการดังกล่าวนอกจากช่วยสร้างรายได้กลับคืนสู่ผู้ปลูกต้นไม้แล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่จะมาดูดซับปริมาณคาร์บอน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและบรรเทาผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน และผลักดันให้ประเทศไทย สามารถบรรลุข้อตกลงความเป็นกลางทางคาร์บอนตามเป้าหมายที่วางไว้

นายฉัตรชัย กล่าวว่า หลักการคิดคำนวณต้นไม้ 1 ต้น ช่วยสร้างปริมาณคาร์บอนเครดิตได้เฉลี่ย 9.5 กิโลกรัมคาร์บอนต่อปี ซึ่งพื้นที่ขนาด 1 ไร่ ปลูกต้นไม้ได้เฉลี่ย 100 ต้น/ไร่ จะได้ปริมาณคาร์บอนเครดิต 950 กิโลกรัมคาร์บอนต่อปี ณราคาขายกึ่ง CSR 3,000 บาทต่อตันคาร์บอน (อัตราคำนวณรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย 70 : 30) กล่าวคือ เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่น ค่าขึ้นทะเบียนต้นไม้ในแต่ละต้น การตรวจนับและประเมิน การออกใบรับรอง เป็นต้นคิดเป็น 30% ของมูลค่าการขาย ดังนั้น เกษตรกรจะได้รับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายที่ 70% ของราคาขาย หรือประมาณ 2,000 บาทต่อไร่ต่อปี 

นอกจากนี้ กรณีปลูกต้นไม้แบบหัวไร่ปลายนา จะสามารถปลูกได้เฉลี่ย 40 ต้น/ไร่ คิดเป็น 380 กิโลกรัมคาร์บอนต่อไร่ต่อปี จะทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการขายหลังหักค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 800 บาทต่อไร่ต่อปี โดยปัจจุบันมีชุมชนที่ได้รับการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกและได้รับใบประกาศเกียรติคุณ LESS จาก อบก. แล้ว 84 ชุมชน ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บได้กว่า 2.7 ล้านตันคาร์บอน โดย ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับชุมชนธนาคารต้นไม้ในการกักเก็บคาร์บอนแล้ว จำนวนกว่า 3.8 ล้านบาท

นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ธ.ก.ส. พร้อมขยายผลการสร้างคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ไปยังชุมชนที่เข้าร่วมโครงการธนาคารต้นไม้ โดยสนับสนุนการปลูกป่าเพิ่มในที่ดินของตนเองและชุมชน ปีละประมาณ 108,000 ต้น ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่จะนำมาซื้อ – ขายได้กว่า 510,000 ตันคาร์บอน ภายใน 5 ปี 

สำหรับโครงการ BAAC Carbon Credit เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทำให้องค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกที่ตั้งไว้ ซึ่งนอกจากหน่วยงานจะได้รับประโยชน์ในด้านธุรกิจ ที่มีความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจชุมชนในการดูแลและปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีพื้นที่สีเขียวที่ได้รับการปกป้องโดยคนในชุมชน 

“ในช่วงไตรมาส 2 ปี 67 นี้ ธ.ก.ส. ก็มีแผนที่จะโรดโชว์นำโครงการ BAAC Carbon Credit นี้นำเสนอเชิญชวนให้ทั้งกลุ่มธนาคารรัฐ-เอกชน บริษัทเอกชน ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศและไม่จดทะเบียน มาซื้อขายคาร์บอนเครดิต กับชุมชนธนาคารต้นไม้ทั้ง 6,814 ชุมชน ซึ่งปัจจุบัน มีต้นไม้ขึ้นทะเบียนในโครงการกว่า 12.4 ล้านต้น ที่ ธ.ก.ส. ดูแลอยู่ ซึ่งก็เชื่อว่าการที่ ธกส. มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจริงในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นตัวอย่างให้องค์กรใหญ่ๆ เห็นทิศทางการบริหารจัดการคาร์บอนมากกว่าแค่การจัดการบริหารลดการใช้พลังงานในองค์กร และเชื่อว่าราคาที่ ธ.ก.ส. ซื้อขายในครั้งนี้ จะเป็นพื้นฐานให้องค์กรต่างๆ ซื้อขายคาร์บอนเครดิตไม่ลดต่ำไปกว่านี้”

นายฉัตรชัย กล่าวด้วยว่า ในอนาคตหากมีองค์กรใดสนใจจะทำการซื้อคาร์เครดิต กับชุมชนธนาคารต้นไม้ที่ ธ.ก.ส. ดูแล โดยทาง ธ.ก.ส. ก็พอเป็นตัวกลางช่วยอำนวยความสะดวกให้ และในอนาคตหากมีองค์กรอื่นๆ เข้ามาดำเนินโครงการในลักษณะนี้ ทาง ธ.ก.ส. ก็มีความยินดี เพราะมองว่า ยิ่งมีโครงการแบบนี้เยอะเท่าไหร่ เม็ดเงินที่ได้ก็ยิ่งกระจายลงไปที่เกษตรกรเร็วขึ้น

สำหรับหน่วยงานที่สนใจในการซื้อ – ขายคาร์บอนเครดิต และต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมสร้างรายได้ให้กับชุมชน สามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชุมชน ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ 02 555 0555